ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 568 รวมพลไปยังจวนอู๋
บทที่ 568 รวมพลไปยังจวนอู๋
“เจ้า… เจ้ากล้าทำร้ายผู้อื่นหรือ!?” ที่ปรึกษาคำรามอย่างกราดเกรี้ยวและเอ่ยถาม
“ตึง!”
อู๋ฝานก้าวเท้าสองก้าวออกไปต่อยอีกครั้งและยังคงเป็นที่ใบหน้า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ตรงจมูก แต่เป็นดวงตา ตาซ้ายของที่ปรึกษาจึงโดนต่อยด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า มันปูดบวมขึ้นพร้อมรอยฟกช้ำเป็นวงรอบ
“เจ้า!…” หลังโดนเล่นงานอีกครั้ง ที่ปรึกษาพยายามก้าวเท้าถอยหลังไปอีกหลายเก้า ขณะคิดจะสบถด่าอู๋ฝาน กลับได้เห็นอีกฝ่ายเดินมาหาตนเองอีกครั้ง
ในชั่วพริบตานั้นเอง ที่ปรึกษาตัดสินใจหันร่างกลับพร้อมวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แม้จะโกรธจัดแต่เขาไม่คิดอยู่พูดคุยต่ออีกแล้ว
“นายท่าน จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ขอรับ?” ซุนเลี่ยงเดินเข้ามาพลางสอบถามด้วยความกังวล
อู๋ฝานที่เพิ่งต่อยที่ปรึกษา ทว่าขณะนี้กลับรู้สึกยินดีและโปร่งโล่ง แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนของกัวจื่อหมิง แต่หากต้องเผชิญหน้ากันจริงเขาก็มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงกล้าที่จะเล่นงานอีกฝ่ายในสถานที่เปิดโล่ง การทำเช่นนี้เทียบเท่าการต่อยหน้ากัวจื่อหมิงเลยด้วยซ้ำ เมื่อใดอีกฝ่ายทราบย่อมต้องโกรธจัด
ที่นี่คือเทศมณฑลชิงหยวน และฝ่ายตรงข้ามคือผู้ปกครองเทศมณฑล เป็นขุนนางพลเรือน หากยั่วยุและหาเรื่องกันด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มันสามารถนำพาไปสู่ปัญหาที่ใหญ่โตกว่า
“ไม่เป็นไร ข้าทราบดีว่ากำลังทำอะไร” อู๋ฝานตอบกลับ “พวกมันกล้าเพ่งเล็งหมู่บ้านเร้นลับ เป็นมันที่อวดดีจนเกินไป ข้าต่อยเพียงแค่สองครั้งถือว่าเบามากแล้ว หากเมื่อครู่มันไม่รีบหลบหนี วันนี้คงได้ทำให้มันได้เป็นประติมากรรมแห่งชาติ”
ซุนเลี่ยงไม่ทราบความหมายในคำพูดของอู๋ฝาน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความมั่นใจเขาก็วางใจ แต่พอนึกย้อนถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “นายท่านได้รับศักดินาเป็นที่ใดหรือขอรับ?”
อู๋ฝานเดินทางไปเมืองหลวงเพราะเรื่องที่ดินศักดินา ขณะนี้เดินทางกลับมาแล้ว ย่อมหมายความว่ามีการตัดสินเรื่องที่ดินศักดินาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ส่วนที่อู๋ฝานกล่าวบอกเมื่อครู่ว่าที่ดินศักดินาคือเทศมณฑลชิงหยวน แม้ซุนเลี่ยงจะนับถือเจ้านายตนเองเพียงใดก็ยากจะทำใจเชื่อได้ เนื่องจากเขาพอได้ทราบเรื่องที่ดินศักดินาของราชสำนักมาบ้าง ถึงเจ้านายของเขาเพิ่งจะกล่าวอย่างยิ่งใหญ่ แต่ที่ตั้งของที่ดินศักดินาอาจผิดพลาดไปบ้าง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จื่อเจวี๋ยคนหนึ่งจะได้รับที่ดินศักดินากว้างใหญ่ระดับเทศมณฑล
ดังนั้นซุนเลี่ยงจึงคิดไปว่าเมื่อครู่อู๋ฝานเอ่ยบอกให้ที่ปรึกษากลัวเสียมากกว่า
“ก็ต้องเป็นเทศมณฑลชิงหยวนอยู่แล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือ?” อู๋ฝานถามกลับ “ทำไม หรือเจ้าเองก็ไม่เชื่อข้า?”
อู๋ฝานมองซุนเลี่ยงและถังซานที่อยู่ข้างกัน สีหน้าคนทั้งสองบ่งบอกออกมาว่าแม้อยากเชื่อก็ยากทำใจเชื่อได้
“เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดโกหก ไม่ได้ทำเพราะต้องการข่มขวัญที่ปรึกษานั่น องค์เหนือหัวมอบเทศมณฑลชิงหยวนนี้เป็นที่ดินศักดินาแก่ข้า” อู๋ฝานอธิบายออกมา
“จริงหรือขอรับ? วิเศษเกินไปแล้ว!” หลังได้ยินคำยืนยัน ทั้งซุนเลี่ยงและถังซานจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดีกันออกมา
สิ่งที่อู๋ฝานเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะต้องการข่มขวัญที่ปรึกษา แต่ยามนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่อยู่โต้เถียง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเขา ในเมื่อผู้เป็นนายยืนยันเช่นนี้ ก็หมายความถึงได้รับที่ดินศักดินาเป็นทั้งเทศมณฑลชิงหยวนจริง ๆ!
แม้ยามฟังดูแล้วยากจะเชื่อไปบ้างก็ตาม
“เป็นเรื่องจริง” อู๋ฝานยิ้มตอบ
“นายท่านยอดเยี่ยม! ตอนนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัวคนแซ่กัวอะไรนั่นแล้ว!” ซุนเลี่ยงเอ่ยคำออกมาด้วยความยินดี
“ต่อให้ที่ดินศักดินาจะไม่ใช่ที่นี่ แต่พวกเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัวมันแต่อย่างใด” อู๋ฝานตอบกลับ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยไว้หน้าเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นตนจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะตอนที่โฉวหย่งเชาออกอาละวาดไปทั่วเทศมณฑล แต่กัวจื่อหมิงกลับเลือกที่จะปิดประตูเทศมณฑลและเพิกเฉย ตั้งแต่นั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดมองอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดีอีกต่อไป
“ใช่แล้ว พวกเรามีนายท่านอยู่ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย!” ซุนเลี่ยงตอบรับ
ในเมื่อที่ดินศักดินาคือที่นี่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกัวจื่อหมิงอีกต่อไป เพราะสถานะของอู๋ฝานสูงส่งยิ่งกว่าผู้ว่าการเทศมณฑล ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นแต่อย่างใดอีก
“นายท่าน นายท่าน ขอท่านตัดสินแทนข้าด้วยขอรับ!” หลังที่ปรึกษาหลบหนีจากอู๋ฝาน เขาก็วิ่งตรงกลับมายังที่ว่าการเทศมณฑลด้วยท่าทีชวนอับอาย ทันทีที่เขาพบเจอกัวจื่อหมิงจึงร่ำร้องออกมา
“เป็นอะไรไป? ไม่ใช่ข้าบอกให้ไปเรียกอู๋ฝานมาหรือ? แล้วนี่ใครทุบตีเจ้า?” กัวจื่อหมิงถึงกับตื่นตะลึงยามเห็นสภาพดูไม่ได้ของที่ปรึกษา
“เป็นวายร้ายอู๋ฝานที่ทุบตีข้าขอรับ!” ที่ปรึกษาปาดเช็ดคราบเลือดบริเวณจมูกพร้อมกับเริ่มบรรยาย “ข้าไปเชิญเขามางานเลี้ยงด้วยเจตนาดี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ …เขากลับไม่รับคำว่าจะมา อีกทั้งท่าทียังเลวร้าย ไม่เพียงทุบตีและเยาะเย้ยข้าประหนึ่งวายร้าย แต่ยังไม่เห็นนายท่านในสายตา อู๋ฝานผู้นี้กระทำเกินไปแล้วขอรับ!”
ที่ปรึกษาเจ็บแค้นหนักหนาเพราะอู๋ฝาน ขณะนี้เมื่อพบกัวจื่อหมิงจึงรายงานไปอย่างไม่ซื่อตรง ถ้อยคำหลายส่วนถือว่าเกินกว่าเรื่องราวไปมาก
“ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!” กัวจื่อหมิงได้ฟังจึงโกรธจัด “อู๋ฝานผู้นี้ยังเห็นกฎบ้านเมืองอยู่ในสายตาหรือไม่? มันไม่เห็นข้าที่เป็นผู้ว่าการเทศมณฑลในสายตางั้นหรือ? มันเห็นเจ้าเป็นหัวสุนัขจึงทุบตีหรืออย่างไร?”
แม้คำเปรียบเปรยของกัวจื่อหมิงจะไม่ค่อยถูกใจที่ปรึกษาไปบ้าง แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือการล้างแค้นอู๋ฝาน หลังได้ยินคำพูดของกัวจื่อหมิงเขาจึงเอ่ยเสริมเข้าไป “อู๋ฝานผู้นั้น อาศัยว่าตนเองเป็นจื่อเจวี๋ย ทำให้นับวันยิ่งป่าเถื่อน ถ้อยคำแต่ละอย่างของมันนั้นทั้งอวดดีและไม่รู้ความ กระทั่งลงไม้ลงมือทุบตีข้าเพราะเรื่องที่หมู่บ้านเร้นลับก่อนหน้านี้ มันยังกล่าวว่าจะมาพบนายท่านเพื่อพูดคุยสะสางเรื่องราวด้วยตนเอง เท่าที่ข้าเห็น …บางทีแม้เป็นนายท่านมันก็คงกล้าลงมือขอรับ!”
“สารเลว!” กัวจื่อหมิงยิ่งเดือดแค้น เขาไม่เคยมองอีกฝ่ายในสายตา ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับทุบตีที่ปรึกษาที่เขาส่งไปเพียงพูดคุย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอวดดีถึงเพียงใด ถึงขนาดมีดวงตาอยู่เหนือศีรษะ!
“เจ้าไปเรียกรวมองครักษ์และเจ้าหน้าที่ทางการ ติดตามข้าไปยังจวนอู๋!” กัวจื่อหมิงโพล่งออกมา
อู๋ฝานคาดเดาได้ถูกต้อง กัวจื่อหมิงต้องการยึดและครอบครองสัตว์เลี้ยงที่ด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับ เดิมเขาคิดเพียงจับสักเล็กน้อยและส่งไปยังวังหลวงเพื่อทำให้จักรพรรดิและองค์หญิงเจ็ดมองตนเองในแง่ดีมากขึ้น แต่หลังร้านค้าของอู๋ฝานเปิดทำการ สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็ได้รับความนิยม ผลกำไรมหาศาลทำให้กัวจื่อหมิงริษยาจนดวงตาร้อนผ่าว ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความคิดจากเดิมเล็กน้อย
เรื่องนั้นตอนนี้มันกลายเป็นแผนการใหญ่แล้ว เขาต้องการความโปรดปรานจากองค์หญิงเจ็ด และยังต้องการได้เงินจากการขายสัตว์เลี้ยงด้วย วันนี้จึงคิดเชิญตัวอู๋ฝานมาร่วมทานอาหารเพื่อพูดคุยถึงจุดประสงค์ดังกล่าว เขาต้องการใช้ตัวตนผู้ปกครองเทศมณฑลเพื่อช่วงชิงเอาสิทธิ์ด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับมาจากมือของอีกฝ่าย หากเจรจาไม่ได้ก็ต้องแย่งชิง ไม่ว่าด้วยอะไรเป้าหมายการครอบครองธุรกิจสัตว์เลี้ยงของเขาก็จะต้องประสบผลสำเร็จ!
แน่นอนว่าสิ่งที่กัวจื่อหมิงริษยาและต้องการไม่ได้จบแค่สัตว์เลี้ยง แต่เหล้าองุ่นสุดเหนือเมฆและชาตื่นรู้ที่วางขายในร้านค้าก็ทำให้เขาริษยา ทว่าของเหล่านั้นยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หากต้องการทั้งหมดในคราวเดียว เกรงว่ามันจะไปกระตุ้นทำให้อีกฝ่ายตอบโต้อย่างดุร้าย ดังนั้นเขาจึงวางแผนดำเนินการทีละขั้นตอน
แต่ที่กัวจื่อหมิงไม่คาดคิดคือการที่อู๋ฝานจะไม่ไว้หน้าตัวเขา แม้ส่งเทียบเชิญไปสองครั้ง แต่กลับยังเมินเฉย กระทั่งพูดจาตอบโต้อย่างหยาบคายและทำร้ายคนที่ถูกส่งไปเชิญ
ด้วยเหตุทั้งหมดนั้น รวมกับหลังได้ฟังคำบอกเล่าของที่ปรึกษา เขาจึงเรียกตัวเหล่าองครักษ์ในจวนพร้อมเจ้าหน้าที่ทางการเตรียมไปสะสางบัญชีหนี้แค้นกับอู๋ฝาน เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ไว้หน้าตนเอง แต่ยังเพราะต้องการลงมือครั้งเดียวหวังผลครั้งยิ่งใหญ่!