ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 57 เชฟใหญ่หลิวขอเป็นศิษย์
บทที่ 57 เชฟใหญ่หลิวขอเป็นศิษย์
บทที่ 57 เชฟใหญ่หลิวขอเป็นศิษย์
“อะไรนะครับ อยากจะให้ผมเป็นอาจารย์?” อู๋ฝานมองเชฟใหญ่หลี่ด้วยอาการตื่นตะลึง
อู๋ฝานไม่คาดคิดว่าที่เชฟใหญ่หลี่เรียกให้ตนเองหยุด จะเป็นเพราะต้องการคำนับตัวเขาเป็นอาจารย์
“ถูกต้อง” เชฟใหญ่หลิวตอบรับด้วยความจริงใจ “ฝีมือทำอาหารของคุณสูงกว่าผม เมื่อวานผมยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ตอนนี้จึงต้องการเรียนรู้วิชาทำอาหารจากคุณ”
เชฟใหญ่หลิวพูดด้วยท่าทีจริงจัง เพียงมองเขาก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น
“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมทำอาชีพอะไร?” อู๋ฝานชี้ตัวเองพร้อมกับเอ่ยถาม
เชฟใหญ่หลิวส่ายศีรษะตอบรับ
“ผมปิ้งบาร์บีคิวขาย!” อู๋ฝานตอบกลับ “คุณที่เป็นถึงเชฟใหญ่ของคัลเลอร์แมน อยากจะเรียนรู้อะไรจากผมกัน? อยากเรียนรู้วิธีทำบาร์บีคิวงั้นหรือ? ภายหลังคุณเรียนจบแล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรกับงานของคุณเลยด้วยซ้ำ”
ที่อู๋ฝานพูดนั้นเป็นความจริง เชฟใหญ่หลิวคือหัวหน้าเชฟของร้านคัลเลอร์แมน และคัลเลอร์แมนถือเป็นหนึ่งในร้านที่ดีที่สุดของเจียงโจว ต่อให้เชฟใหญ่หลิวเรียนรู้จนฝีมือทำอาหารเพิ่มขึ้น แต่สถานะตัวตนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
“คุณทำบาร์บีคิวขาย?” เชฟใหญ่หลิวมองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอู๋ฝานทำอาชีพอะไร
“ถูกต้องครับ”
“แม้แบบนั้นผมก็ยังต้องการให้คุณเป็นอาจารย์อยู่ดี” เชฟใหญ่หลิวยังคงดื้อรั้นยืนกราน “ผมคำนับเป็นอาจารย์เพราะฝีมือทำอาหาร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาชีพการงาน”
เชฟใหญ่หลิวเสาะแสวงฝีมือการทำอาหารอย่างแรงกล้า ตัวเขาต้องการพัฒนาไปให้สูงขึ้นกว่านี้ เพราะฝีมือทำอาหารไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพการงาน ดังนั้นเขาจึงยืนกรานความคิดคำนับอู๋ฝานเป็นอาจารย์อย่างหนักแน่น
“ผมไม่รับศิษย์ครับ ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น” อู๋ฝานตอบกลับ
พูดจบคำ อู๋ฝานก็เดินออกไป
มันไม่ใช่ว่าอู๋ฝานไม่ต้องการสอนเชฟใหญ่หลิวโดยเจตนา แต่เพราะตัวเขาไม่มีเวลาจริง ๆ เขาต้องลงเรี่ยวแรงไปมหาศาลกับอีกโลกหนึ่ง และในโลกความเป็นจริง เขาก็กำลังเตรียมเงินทุนก้อนแรกเพื่อเริ่มธุรกิจ อย่างนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปสอนศิษย์ได้?
“ตั้งร้านแผงลอยที่ไหนกัน? ให้ผมได้ไปเห็นกับตา!” เชฟใหญ่หลิวตะโกนถามอู๋ฝาน
“ถนนตรงหน้ามหาวิทยาลัยเจียงโจวครับ” อู๋ฝานตอบกลับโดยไม่หันไปมอง
เชฟใหญ่หลิวไม่คิดหยุดอู๋ฝานที่คิดกลับ ทว่าสายตานั้นเผยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นออกมา
“ขึ้นรถสิ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ออกมารอหน้าร้าน ได้เรียกรถมารอเป็นที่เรียบร้อย ยามพบเห็นอู๋ฝานเดินออกมา เธอไม่ได้เอ่ยถามว่าอู๋ฝานกับเชฟใหญ่หลิวมีเรื่องราวอะไรต่อกัน เพียงแต่บอกให้ขึ้นรถ
ที่ภายในรถ มันไม่ได้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แต่เป็นอีกครั้งที่อู๋ฝานได้เห็นว่าคนขับใช้กระจกมองหลังพยายามแอบมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ขาด แม้ว่าจะไม่ใช่คนขับคนเดิม แต่วิธีการเหมือนกันจนไม่ต่าง
“ฉันต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ด้วยค่ะ” ขณะอู๋ฝานกำลังนึกทึ่งต่อเสน่ห์ความงามของหลิ่ว เหยียนเอ๋อร์ เสียงอันเย็นเยือกของเธอก็ดังขึ้น ทว่าในน้ำเสียงนั้นเจือไว้ซึ่งเจตนาขอโทษ
“ฉันพาคุณมาที่นี่ ก็เพราะตั้งใจจะใช้คุณเป็นโล่ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดต่อ “ฉันอยากทำให้ข่งไห่หลินถอยไปบ้าง ไม่นึกเลยว่าเขาจะตอบรับแบบนี้”
“เป็นการแสดงให้เห็น ว่าคุณไม่เข้าใจมนุษย์ หรือผู้ชายเลยแม้แต่น้อย” อู๋ฝานตอบกลับ
เห็นได้ชัดว่าข่งไห่หลินพยายามไล่ตามจีบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ และหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ต้องการดึงอู๋ฝานมาใช้เป็นโล่ เพื่อต้องการให้ข่งไห่หลินทราบว่าตัวเธอมีแฟนแล้ว โดยหวังว่าสุดท้ายจะได้เป็นฝ่ายยอมเลิกราไปเอง แต่เธอไม่นึกคิดว่าสุดท้ายจะเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น
แท้จริงแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่ สำหรับอู๋ฝานถือเป็นเรื่องปกติ หากว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ใช้คนอื่นที่มีสถานะทัดเทียมข่งไห่หลิน หรือว่าสถานะสูงส่งกว่าเพื่อใช้เป็นโล่ บางทีมันอาจได้ผล แต่ก็อาจไม่ใช่ เพราะด้วยนิสัยและตัวตนของข่งไห่หลินที่หยิ่งยโสอวดดี เขาย่อมมองเหยียดคนอื่นและไม่คิดเก็บมาใส่ใจจริงจัง ต่อให้ทราบว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ดึงคนอื่นที่มีสถานะแตกต่างมา เขาจึงมองเหยียดต่ออีกฝ่าย เหมือนดังที่สงสัยต่อตัวตนของอู๋ฝาน และไม่เชื่อว่าอู๋ฝานจะเป็นแฟนของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้
เพราะเหตุนั้น อู๋ฝานจึงกล่าว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่รู้จักข่งไห่หลินหรือว่าผู้ชายดีแต่อย่างใด
“ฉันคิดไม่รอบคอบเอง” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ปฏิเสธคำของอู๋ฝาน เพราะความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าคำพูดของอู๋ฝานนั้นถูกต้อง
“ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “เรื่องราวครั้งนี้ไม่น่าส่งผลกระทบอะไรกับผม ยังไงผมก็คงไม่ไปเกี่ยวข้องกับนายน้อยข่งอีกแล้ว ส่วนพวกเราจะได้พบกันอีกภายหน้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณครับ หากจะให้พูด เรื่องเลวร้ายหนึ่งเดียวในวันนี้ คือการที่ไม่ได้ทานมื้อเย็นจนอิ่มหนำ เมื่อไหร่กลับไปผมคงต้องทำอะไรสักอย่างทานเอง”
คำของอู๋ฝานมีเจตนาปลอบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แน่นอนว่าเป็นการปลอบตัวเองด้วย อย่างไรภายหน้าตัวเขาก็คงไม่มีอะไรให้ต้องข้องเกี่ยวกับคุณชายน้องข่งอีก ต่อให้นายน้อยข่งมีสถานะและอำนาจ คิดจะทำอะไรกับตัวเขาก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายถึงขนาดนั้น
หากอู๋ฝานทราบว่าเพียงเวลาไม่นานที่ตัวเขาและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ออกจากห้องส่วนตัว ข่งไห่หลินจะติดต่อให้คนอื่นสืบสาวเกี่ยวกับตัวเขา คงไม่คิดเห็นเช่นตอนนี้แน่
“ให้ฉันเลี้ยงมื้อเย็นเองค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดขึ้นมา
แม้อู๋ฝานไม่ได้กล่าวโทษอะไร แต่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ยังคงรู้สึกผิด เพราะเธอรับปากว่าจะเลี้ยงมื้อเย็น อู๋ฝาน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทานอะไร
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมกลับไปแล้วทำอะไรทานเองก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” อู๋ฝานตอบกลับ
เพียงไม่ช้ารถจึงมาถึงประตูหน้าของมหาวิทยาลัยเจียงโจว คนทั้งสองจึงลงจากรถ
“ก็ตามนี้ คุณกลับเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนผมก็กลับไปบ้าน” อู๋ฝานบอกกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังไม่กล้าเข้ามหาวิทยาลัย แต่เอ่ยถามขึ้น “คุณอยู่ที่ไหนกัน?”
“อยู่ทางด้านนั้น ไม่ไกลมากครับ เดินไม่กี่นาทีก็ถึง” อู๋ฝานชี้ไปยังย่านชุมชนที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย
“พาฉันไปดูได้ไหมคะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ครับ?” คำขอของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ถึงกับทำอู๋ฝานต้องชะงัก เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อน ว่าหลิ่วเหยียน เอ๋อร์จะมีคำขอเช่นนี้ขึ้นมา
ความหมายมันเป็นเช่นไร ในระหว่างค่ำคืน หญิงงามกลับขอไปยังบ้านของชายหนุ่ม อีกทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนคุ้นเคยอะไรต่อกัน จึงยิ่งทำอู๋ฝานเกิดความรู้สึกสับสน
“ไม่สะดวกหรือคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น
“สะดวกครับ ไม่สะดวกอะไรกันล่ะ?” อู๋ฝานตอบกลับ “เพียงแต่ตอนนี้ดึกแล้ว คุณไปที่บ้านผม มันออกจะ…”
“ไปกันค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เดินออกนำอู๋ฝานเป็นการยืนกราน
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เป็นคนมีฝีมือ ต่อหน้าอู๋ฝานเธอย่อมไม่กลัวจะถูกข่มเหง ดังนั้นจึงไม่กังวลเรื่องที่อู๋ฝานเป็นกังวล อีกทั้งคนอื่นจะคิดอย่างไรต่อตนเองเธอก็หาได้สนใจไม่
พบเห็นหลิ่วเหยียนเอ๋อยืนกรานจะไป อู๋ฝานจึงไม่อาจพูดอะไรอื่นได้อีก ในเมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายไม่ใส่ใจ อย่างนั้นเขาจะยังใส่ใจอะไรอีก?
คนทั้งสองเดินไปตามถนน ย่อมดึงดูดความสนใจของนักศึกษาหลายคน อย่างไรแล้วที่นี่ก็เป็นประตูหน้าของมหาวิทยาลัยเจียงโจว หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาวิทยาลัยเจียงโจว ไม่แปลกหากจะมีคนสนใจ
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หาได้เก็บสายตาเหล่านั้นมาใส่ใจไม่ ท่าทีของเธอยังคงเป็นเหมือนปกติ ส่วนทางด้าน อู๋ฝานนอกจากที่ช่วงแรกจะเขินอายไปบ้างแล้ว ถัดจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ กระทั่งเกิดความรู้สึกมืดมนในหัวใจ
แม้เขาทราบดีว่าตนเองและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรต่อกัน แต่มันไม่ใช่กับนักศึกษาทั้งหลายที่กำลังมองมาและครุ่นคิด