ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 582 สั่งสอน
บทที่ 582 สั่งสอน
……….
บทที่ 582 สั่งสอน
“พี่จ้าว ทำไมถึงตอบรับไปแบบนั้นคะ? ก็เห็นชัด ๆ ว่าเขามีเจตนายังไง” หลังเจียงอวี่เดินกลับไปแล้ว สวี่จื่อฉีจึงระบายโทสะกับพี่จ้าว
เมื่อได้อยู่วงการบันเทิงมานานหลายปี ความสามารถในการอ่านคนของสวี่จื่อฉีก็เริ่มดีมากขึ้น สายตาของเจียงอวี่เมื่อครู่มันแทบไม่มีการปิดซ่อนใด ๆ เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นแค่มองตนก็กล้าพูดว่าอีกฝ่ายมีความคิดไร้ยางอายอยู่อย่างแน่นอน
“จื่อฉี อย่าเพิ่งโกรธสิ เจียงอวี่เป็นคุณชายตระกูลเจียงเลยนะ เป็นตัวละครเอกของงานวันนี้ หักหน้าเขาไปก็มีแต่จะเป็นผลเสียกับพวกเรา” พี่จ้าวตอบกลับ
“แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องกระโดดลงเหวทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลงไปแล้วมันจะเป็นยังไงนี่คะ” สวี่จื่อฉีตอบกลับด้วยความไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ไว้เมื่อไหร่ถึงเวลา เธอเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว อย่างมากเขาก็คงฉวยโอกาสด้วยมือ ไม่เสียหายใหญ่โตอะไรอยู่แล้ว” พี่จ้าวตอบกลับราวกับไม่คิดใส่ใจแม้แต่น้อย
“ฉวยโอกาสด้วยอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้นค่ะ!” หญิงสาวตอบกลับอย่างหนักแน่น “พี่คิดจริงเหรอคะว่าเขาจะหยุดแค่มือน่ะ?”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภายใต้การจัดการของบริษัท สวี่จื่อฉีไม่เพียงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงหลายครั้ง แต่ยังต้องคอยเรียนรู้วิธีปกป้องตัวเองด้วย เมื่อไหร่มีโอกาสก็ต้องรีบผลักไส ต้องครุ่นคิดหาหนทางหลบเลี่ยงเท่าที่จะเป็นไปได้ตลอดเวลา แม้รอดพ้นมาได้ก็ใช่ว่าเรื่องราวนั้นจะง่ายดายอย่างที่คิด บางครั้งกระทั่งเป็นการยั่วยุอีกฝ่ายก็มี ทว่าอย่างน้อยเธอก็สามารถปกป้องตัวเองเอาไว้ได้
ส่วนเรื่องที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทต้องไปจัดการเอาเอง รวมถึงพี่จ้าวด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่ว่าใครต่างก็มองว่าการที่หญิงสาวถูกฉวยโอกาส มันคือเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น บางครั้งกระทั่งขอให้เธอเป็นฝ่ายยั่วยวนอีกฝ่ายซะด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะประเด็นไหนก็ทำให้เธอต้องทุกข์ใจ ตนเคยโต้เถียงหรือโต้แย้งด้วยเหตุผลไปแล้ว นับว่าโชคดีที่ทางบริษัทยอมโอนอ่อนให้บ้าง เนื่องจากตัวตนของเธอคือคนที่ทำเงินได้ ทางบริษัทจึงไม่กล้าผลักเธอจนเกินไป
แต่พอได้ฟังคำพูดของพี่จ้าวเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเรื่องที่เธอถูกเอาเปรียบจริงจังเลยแม้แต่น้อย
“นายน้อยเจียงไม่น่าใช่คนแบบนั้นหรอก” พี่จ้าวตอบกลับมา
“พี่ไม่ได้รู้จักเขาสักหน่อย รู้ได้ยังไงคะว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น?” สวี่จื่อฉีถามกลับ “ฉันว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเลยนั่นแหละค่ะ!”
“แต่รับปากไปแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? ให้ฉันไปเอาคำพูดเมื่อกี้กลับมางั้นเหรอ? มีแต่จะยิ่งเป็นการหักหน้าเขาน่ะสิ” พี่จ้าวตอบกลับ
สวี่จื่อฉีมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าพี่จ้าวคงมีการไปแอบตกลงอะไรกับอีกฝ่ายเอาไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้ยากจะหาทางปฏิเสธแล้ว เพราะหากทำก็มีแต่จะเป็นการหักหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
“เอาน่า ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันจะปกป้องเธอไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันเอง ตอนนี้กลับไปเตรียมตัวก่อน งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว เธอต้องทำให้ดีล่ะ” พี่จ้าวบอกกับสวี่จื่อฉี
“พี่จ้าว ขอพูดให้ชัดเจนก่อนก็แล้วกันค่ะ ถ้าเขาทำอะไรเกินเลย ต่อให้ต้องเสี่ยงยั่วยุเขาหรือว่าทั้งตระกูลเจียงฉันก็ไม่สนหรอกนะคะ” สวี่จื่อฉีตอบกลับ เห็นได้ชัดว่าเธอทราบความคิดอีกฝ่าย และเชื่อว่าหากถึงเวลาอีกฝ่ายคงไม่ปกป้องเธอเลยแม้แต่น้อย
“รู้แล้ว รู้แล้ว ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้ไปเตรียมตัวก่อน” พี่จ้าวตอบกลับ ราวกับเธอมั่นใจว่าสามารถควบคุมอารมณ์ของสวี่จื่อฉีเอาไว้ได้ มันเป็นความมั่นใจเหมือนตอนที่ปลอบหญิงสาวก่อนหน้านี้
สวี่จื่อฉีทำได้เพียงยอมทำตามโดยกลับเข้าไปเตรียมการ ในใจของเธอยังคงกังวล เนื่องจากไม่เชื่อมั่นอะไรในตัวเจียงอวี่แม้แต่น้อย และไม่ได้เชื่อมั่นในตัวพี่จ้าวด้วยเช่นกัน คนที่เธอจะพึ่งพาได้ในเวลานี้จึงเหลือแค่ตัวเธอคนเดียวเท่านั้น
ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ สวี่จื่อฉีจะมีความคิดอยากหลบหนีออกจากวงการบันเทิง เพราะการอยู่ที่นี่ต่อมีแต่จะยิ่งเหนื่อยล้า โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีพื้นเพเบื้องหลังอย่างเธอ ทุกเรื่องยิ่งเป็นเรื่องยาก มันเปรียบเสมือนการเดินบนพื้นน้ำแข็ง หากไม่ระวังก็อาจจะมีคนผลักให้ลื่นล้ม และสุดท้ายก็จับเธอกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งมีแขกมาเยือนตระกูลเจียงมากขึ้น พวกเขาเหล่านี้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ล้วนแต่เป็นคนดังมีชื่อเสียงและใช้ชีวิตอยู่ในเจียงโจว สำหรับพวกเขางานครั้งนี้คือโอกาสทางสังคมอันยอดเยี่ยม
ส่วนตัวเอกของงานในค่ำคืนนี้เช่นเจียงอวี่ กำลังเดินไปทั่วห้องโถงโดยมีเจียงฟั่นโจวเป็นคนนำทางให้ เพื่อคอยทักทายและพูดคุยกับคนสำคัญทั้งหลาย แม้คนเหล่านี้เคยรู้จักหรือเคยมีการติดต่อกันมาบ้าง แต่วันนี้จะแตกต่างออกไป เจียงฟั่นโจววางแผนจะให้บุตรชายออกมายืนอยู่แถวหน้า ดังนั้นจึงต้องมีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการให้เรียบร้อย มันคือจุดประสงค์ของงานครั้งนี้ก็ว่าได้
“พ่อกำลังมองหาใครกันครับ?” หลังแยกจากเพื่อนเก่าของเจียงฟั่นโจว เจียงอวี่ก็พบว่าสายตาของพ่อตัวเองกำลังมองหาใครบางคน ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“มองหาอู๋ฝานอยู่” เจียงฟั่นโจวตอบบุตรชาย ขณะสายตายังคงมองหาอู๋ฝานในกลุ่มคน
“หาตัวเขาไปทำไมครับ? ถ้าเขามาก็แค่มา ไม่มาก็ไม่เห็นต้องใส่ใจเลยนี่ครับ” เจียงอวี่ตอบกลับ
เจียงฟั่นโจวตัดสินใจเชิญอู๋ฝานเอง เพราะหากอาศัยความเห็นของเจียงอวี่คงไม่มีทางเชิญอีกฝ่ายมาร่วมงานอย่างแน่นอน เนื่องจากลูกชายไม่ได้มีความประทับใจดี ๆ อะไรกับอีกฝ่าย กระทั่งคิดอยากยืมมือวังเมฆาสีชาดเพื่อฆ่าให้ตายด้วยซ้ำไป แต่ภายหลังกลับได้ทราบว่าวังเมฆาสีชาดลงมือล้มเหลว เพราะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายมาแต่ไหนแต่ไร มีหรือเขาจะผูกมิตรกับชายหนุ่มได้
“อวี่เอ๋อร์ หลังวันนี้ไปลูกจะต้องแยกตัวออกไปมีชีวิตของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว ในฐานะสมาชิกตระกูลเจียงคนหนึ่ง ลูกไม่ควรคิดอะไรอย่างเรียบง่าย ลูกจะไม่สามารถผูกมิตรแค่กับคนที่ลูกต้องการได้ ทุกเรื่องต้องมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องเป็นอันดับแรก” เจียงฟั่นโจวสอนบุตรชาย
“แล้วอู๋ฝานจะนำผลประโยชน์อะไรมาให้ตระกูลเราได้ครับ? ก็แค่เปิดร้านอาหารผุพัง มีอะไรวิเศษนักหนากัน” เจียงอวี่เอ่ยค่อนแคะ
“ร้านอาหารผุพัง?” เจียงฟั่นโจวเลิกคิ้วขึ้นมา สีหน้าเริ่มจริงจัง “ร้านอาหารผุพังนั่นคือที่ที่หวงถิงเฟิงพยายามเข้าไปสร้างความวุ่นวาย แต่สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ กระทั่งชีวิตก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ ร้านอาหารผุพังนั่นแม้แต่ผู้อาวุโสนอกสำนักและสำนักในของวังเมฆาสีชาดยังทำอะไรไม่ได้ ซ้ำร้ายกิจการยังดีขึ้นไม่หยุด ลูกจะมองว่ามันเป็นร้านอาหารผุพังอยู่อีกงั้นเหรอ?”
เจียงอวี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“เห็นชัด ๆ ว่าอู๋ฝานมีทั้งพื้นเพและอำนาจอยู่เบื้องหลัง ก่อนหน้านี้ลูกเคยมีปัญหากับเขา ถ้าเขาเป็นคนที่ฆ่าได้แม้แต่คนจากวังเมฆาสีชาดแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยดี ก็เห็นได้ชัดว่าอำนาจเบื้องหลังของเขาไม่ได้ด้อยกว่าวังเมฆาสีชาด กระทั่งว่าจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ! วังเมฆาสีชาดยังทำอะไรเขาไม่ได้ ตอนนี้ลูกกล้าดียังไงไปปรามาสเขา?” เจียงฟั่นโจวยังคงพูดต่อ “พ่อเชิญเขามาที่นี่วันนี้เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งเล็กน้อยที่มีกับลูก ถ้าลูกอยากจะก้าวหน้าในเจียงโจวก็ต้องไม่หาเรื่องเขา อย่างน้อยก็จนกว่าลูกจะแข็งแกร่งมากพอ”
เห็นได้ชัดว่าเจียงฟั่นโจวมีสายตากว้างไกลกว่าบุตรชาย ด้วยเรื่องราวระหว่างอู๋ฝานและวังเมฆาสีชาด เขาได้เห็นแล้วว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่อ่อนด้อย ไม่ว่าจะด้วยตัวเองหรืออำนาจเบื้องหลังต่างก็แข็งแกร่ง การตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนเช่นนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด เพราะเหตุนั้นเจียงฟั่นโจวถึงส่งเทียบเชิญพิเศษให้อู๋ฝาน เพื่อที่จะได้คลี่คลายปัญหาค้างคาใจระหว่างคนหนุ่มทั้งสอง
ยิ่งไปกว่านั้น หลังเรื่องของวังเมฆาสีชาด อู๋ฝานก็ยิ่งเป็นตัวตนที่คนทั้งเจียงโจวจับตามอง หลายคนคิดอยากเข้าไปผูกมิตร แต่กลับหาโอกาสไม่ได้ เจียงฟั่นโจวจึงคิดใช้ช่วงเวลานี้สร้างโอกาสผูกมิตรกับอีกฝ่าย แม้ก่อนหน้านี้อู๋ฝานและเจียงอวี่จะมีปัญหากันบ้าง แต่ในความเห็นของเจียงฟั่นโจว ผู้คนไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูคู่แค้นตลอดกาล ตราบใดที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม อู๋ฝานย่อมไม่ถือสาหากต้องผูกมิตรกับตระกูลเจียง
……….