ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 606 หลอกหลอน
บทที่ 606 หลอกหลอน
“เถ้าแก่ เป็นอะไรไปคะ?” ที่โถงกลาง เฉินปิงเหยาเห็นอู๋ฝานเดินออกมาด้วยสีหน้าผิดแปลกจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรครับ” อู๋ฝานตอบกลับขณะเดินออกจากร้านไปโดยไม่หยุดเท้า
เฉินปิงเหยามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม จากนั้นจึงมองทางห้องส่วนตัว เธอทราบว่าวันนี้เถ้าแก่เป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารแก่สวี่จื่อฉี แต่ไม่คาดว่าผ่านไปแค่ราวครึ่งมื้อ อู๋ฝานจะเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแปลกไป
“หรือเกิดเรื่องไม่พอใจอะไรขึ้นระหว่างเถ้าแก่กับคุณหนูสวี่ในห้องส่วนตัว?” เฉินปิงเหยาเริ่มคาดเดา
“เกาหาน ติดต่อดาราคนอื่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์แทนได้เลยครับ” หลังอู๋ฝานเดินออกจากร้าน เขาก็โทรหาเกาหานทันที
“อ๋า เถ้าแก่ครับ สวี่จื่อฉีล่ะ…” เกาหานยังคงสับสนกับคำสั่งที่ได้รับ เพราะสองวันก่อนเขาได้รับคำตอบว่าด้านสวี่จื่อฉีไม่มีปัญหา แต่ผลลัพธ์ปัจจุบันกลับกลายเป็นได้รับคำสั่งให้ไปหาดาราคนอื่นแทน
หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
“หยุดถามเรื่องสวี่จื่อฉีเถอะครับ คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” อู๋ฝานตอบกลับ
หลังวางสายจากเกาหาน ความรู้สึกของอู๋ฝานก็ยังไม่ดีขึ้น และที่เกาหานรับรู้ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เขากำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่ใช่เพราะข้อเสนอสิบห้าล้านของสวี่จื่อฉี แต่เป็นเพราะการพูดไม่เป็นคำพูด ตนจึงรู้สึกว่ากำลังโดนหลอกลวง
หากสวี่จื่อฉีไม่ตอบรับเดิมพันตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยก็ไม่ยอมรับจากการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ อู๋ฝานคงไม่คิดอะไรมากมาย แต่สวี่จื่อฉีตกลงราคากับข้อเสนอไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายพอนัดเจอเพื่อพูดคุยกลับผิดคำสัญญา แม้พี่จ้าวจะเป็นคนออกหน้าพูดแทน แต่ในมุมมองของชายหนุ่ม มันคือเล่ห์ร้ายของหญิงสาว เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
อู๋ฝานไม่ต้องการร่วมมือกับคนที่พร้อมจะทำตัวกลับกลอกแบบนี้ กล่าวคือเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ความรู้สึกที่ไม่ต่างกับโดนหลอกซึ่งหน้า เขาจะอารมณ์ไม่ดีและหงุดหงิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
จนกระทั่งขับรถกลับมาถึงบ้าน ความรู้สึกในใจของเขาถึงเริ่มดีขึ้นมาบ้าง
การยุติความร่วมมือกับสวี่จื่อฉีไม่ได้หมายความว่าโรงงานเภสัชกรรมของเขาถึงจุดจบ อย่างไรในตลาดก็ยังมีดาราและคนมีชื่อเสียงอีกมากมาย แค่การเริ่มต้นอาจจะไม่สร้างแรงกระแทกแก่ตลาดเท่าสวี่จื่อฉีเท่านั้น แต่เขาก็เชื่อว่าขอเวลาเพียงไม่นาน ชื่อเสียงจะเริ่มกระจายออกไปจากปากของลูกค้าที่ได้ใช้จริง เพราะสินค้าของเขามีคุณภาพเป็นจริง ๆ ต่อให้ใครใช้ก็ต้องมีผลตอบรับที่ดีกลับมา เมื่อไหร่ที่ชื่อเสียงดีขึ้น เมื่อนั้นสินค้าจะเริ่มขายได้ด้วยตัวของมันเอง
แค่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิมไปบ้าง
“นายน้อย วันนี้คุณหนูเจ้ามาอีกแล้วค่ะ” ทันทีที่อู๋ฝานกลับถึงบ้าน เหมยอวี่จึงเข้ามาบอก
“ค่ะ พอทราบว่านายน้อยไม่อยู่บ้านก็กลับไป” เหมยเสวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับ
“นี่มันช่าง… เหมือนผีหลอกวิญญาณตามหลอนดีจริง ๆ” เขายิ่งรู้สึกปวดหัวหนักมากขึ้น
คุณหนูเจ้าที่เหมยอวี่เอ่ยถึงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าเสวี่ยอี๋ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับอู๋ฝาน
นับตั้งแต่จบงานเลี้ยงรุ่น เจ้าเสวี่ยอี๋ก็พยายามเกาะติดเข้าหาอู๋ฝาน ทั้งยังพยายามโทรหาอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงแวะเวียนไปที่ร้านโลกในแหวน แต่ก็ไม่ทราบว่าเธอรู้ที่อยู่ของเขาได้ยังไง จนสุดท้ายตามมารุกรานถึงบ้าน
ตอนแรกอู๋ฝานก็ยังมองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งได้ แต่คราวหลังพบว่าไม่ใช่ เพราะเจ้าเสวี่ยอี๋มีเจตนาอื่นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่เห็นความคิดของอีกฝ่าย อู๋ฝานก็เลือกที่จะปฏิเสธและหาข้ออ้างอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเจ้าเสวี่ยอี๋ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอพยายามติดต่อหาครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้เขาต้องปวดหัว
กลยุทธ์ของเจ้าเสวี่ยอี๋ค่อนข้างชาญฉลาด แม้จะติดต่อหาอู๋ฝานอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำจนเกินเลย โทรมาก็เพียงพูดคุยเรื่อยเปื่อย บ่อยครั้งยังเลือกสนทนาเรื่องสมัยยังเรียนอยู่ แต่ละครั้งที่พูดคุยไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น ส่วนที่ไปหาถึงร้านโลกในแหวน เธอเองก็มาใช้บริการร้าน แค่บังเอิญแบบไม่บังเอิญเจอชายหนุ่มจึงเข้ามาสนทนาระยะหนึ่ง ส่วนเรื่องมาหาถึงที่บ้าน ขอเพียงตนไม่อยู่ เธอก็จะไม่เข้ามาก้าวก่ายหรือเสียมารยาท
หากให้บอกตามตรง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่อาจต่อต้านการรุกไล่หนักขนาดนี้ไหว อย่างไรเจ้าเสวี่ยอี๋ก็เป็นคนสวยและทำอะไรแน่วแน่ เมื่อเจอเธอเข้าหาถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่อาจอดรนทนได้ไหว
แต่ไม่ใช่กับอู๋ฝาน เขาไม่มีความคิดอะไรกับเจ้าเสวี่ยอี๋ทั้งสิ้น บางทีเพราะเรื่องสมัยยังเรียนอาจเป็นแผลฝังใจ แต่สรุปแล้วเขาไม่คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์ของตนกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
และแน่นอนว่าชายหนุ่มบอกความคิดเหล่านี้ออกไปแล้ว แต่มันไม่อาจทำให้เจ้าเสวี่ยอี๋ยอมถอย
“หรือบางทีเราควรหาโล่ป้องกัน?” ทันใดนั้นเองที่อู๋ฝานบังเกิดมีความคิดหนึ่งขึ้นมา
เนื่องจากเขาเคยเจอเหตุการณ์ไปเป็นโล่ให้คนอื่นมาแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ในความเห็นของเขา ต่อให้ปฏิเสธเจ้าเสวี่ยอี๋ไปขนาดไหนเธอก็คงไม่ยอมแพ้ เพราะไม่ว่าด้วยอะไร เธอก็พบเห็นว่าเขาโสด ต่อให้มีโอกาสแค่น้อยนิด มันก็ยังมีความหวัง แต่หากตนมีคนรักสักคน เธอก็คงจะยอมแพ้ไปเอง
“แต่จะไปหาโล่แบบนั้นได้จากไหนกันล่ะ?” อู๋ฝานครุ่นคิดพลางนึกภาพคนคนหนึ่งขึ้นมาในใจ แต่ชั่วขณะก็ต้องประหลาดใจกับตนเอง
“หรือเรากำลังรอโอกาสแบบนี้มาตลอด ไม่งั้นแค่คิดเรื่องแผนใช้โล่ขึ้นมาจะนึกถึงเธอได้ยังไง?” ในใจของอู๋ฝานกำลังตื่นตระหนกและตกใจ บางทีเขาอาจจะมีความคิดแบบนี้มาตลอด เพียงไม่ได้สนใจและกลบฝังมันเอาไว้ลึก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเผชิญกับเรื่องน่าปวดหัวมันจึงปรากฏขึ้นมา
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนอยากจะติดต่อหาอีกฝ่ายทันที แต่อีกใจก็กลัวว่าคำขอของตัวเองจะหยาบคายจนทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
ขณะคิดว่าควรทำยังไง ความร้อนรนที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มลืมเลือนเรื่องสวี่จื่อฉีไปจนหมดสิ้น
อีกทางหนึ่ง สวี่จื่อฉีและพี่จ้าวที่ทานอาหารเสร็จแล้วเดินทางกลับโรงแรม ตลอดทางพี่จ้าวจะคอยสบถก่นด่าการกระทำของอู๋ฝานไม่หยุดหย่อน
“ไม่ว่าจะยังไงมันก็เกินไป ไม่ได้ทำงานด้วยก็ถือว่าดีแล้ว ไม่มีมารยาทกันเลยสักนิด นิสัยจริง ๆ ก็เป็นกันซะแบบนี้!” พี่จ้าวยังคงบ่นไม่หยุด
“พอได้แล้ว!” สวี่จื่อฉีที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนโพล่งออกมา “เรื่องนี้เป็นความผิดของฝ่ายเราตั้งแต่แรก เขาจะตอบสนองรุนแรงแบบนั้นแล้วมันแปลกตรงไหน พี่เอาหน้าที่ไหนไปโกรธเขาแบบนี้?”
“พวกเราผิดอะไรล่ะ?” พี่จ้าวตอบกลับอย่างไม่ยอมรับ “สัญญาจ้างเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ไม่ใช่อำนาจตัดสินใจของเธอตั้งแต่แรกแล้ว การที่เธอเดิมพันกับเขาก็ไปสัญญาปากเปล่ากันเอง ไม่มีการจดบันทึกลายลักษณ์อักษรอะไรไว้ การเจรจาทางธุรกิจต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบสิ ไม่ใช่อะไรที่แค่เดิมพันด้วยการพูดคุยแล้วก็จะตัดสินใจกันได้”
ตอนที่อู๋ฝานและสวี่จื่อฉีเดิมพันกัน พี่จ้าวเองก็อยู่ด้วย และตอนนั้นเธอก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองว่าคนสองคนเล่นกันขำขัน ดังนั้นต่อให้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเธอก็ไม่มีทางยอมรับ ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทในอนาคต เธอที่อยู่ด้วยย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบพ้น
……….