ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 618 โกรธเกรี้ยว
บทที่ 618 โกรธเกรี้ยว
เคอซาร์กำลังหงุดหงิด มันเป็นความหงุดหงิดแบบที่ไม่เคยประสบมาก่อน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตนแข็งแกร่งกว่าอู๋ฝาน แต่สุดท้ายกลับไม่อาจทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บได้ จนเรียกว่าแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเอาแต่กระโดดไปมาซ้ายขวาอย่างว่องไวราวกับลิง มันพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทว่าก็ยังไม่อาจไล่ตามได้ทัน ทุกการโจมตีที่รุนแรงของมันสูญเปล่าจนยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งโมโห
อู๋ฝานมองเคอซาร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจเวลานี้มีประโยคเพียงแค่หนึ่งเดียว
วิทยายุทธแห่งใต้หล้าคือความเร็ว!
ประโยคนี้ชายหนุ่มเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งได้รู้จักคำว่า ‘เร็ว’ ก็ในศึกการต่อสู้ครั้งนี้ เขาด้อยกว่าอีกฝ่าย หากที่นี่เป็นสมรภูมิสู้รบ เกรงว่าตนคงไม่อาจยืนอยู่ได้นานและถูกอีกฝ่ายสังหารไปเรียบร้อยแล้ว
ทว่าเมื่อเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งและเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นเคอซาร์ ความว่องไวกลับกลายเป็นสิ่งได้เปรียบ มันทำให้อู๋ฝานเข้าใจอย่างลึกล้ำถึงคำว่า ‘วิทยายุทธแห่งใต้หล้าคือความเร็ว’ ขึ้นมา
‘ไว้หลังจากนี้คงต้องฝึกใช้วิชานางแอ่นถลาลมให้บ่อยขึ้นแล้ว’ อู๋ฝานคิดอยู่ในใจ
วิชานางแอ่นถลาลมในทุกขั้นจะเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จำนวนดังกล่าวถือว่ามากมายมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องต่อกรกับคนแข็งแกร่งเช่นเคอซาร์ที่ใช้เพียงแต่พละกำลัง ความเร็วจะยิ่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
เพราะก่อนหน้านี้ตนไม่ได้นำมันมาใช้ฝึกฝน วิชานางแอ่นถลาลมของอู๋ฝานจึงยังเป็นเพียงขั้นที่หนึ่งเท่านั้น แม้ความเร็วการเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากตอนปกติ แต่พลังอำนาจที่แท้จริงของวิชานี้ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุด
“ฆ่า!”
ขณะอู๋ฝานกำลังคิดเรื่องจะฝึกฝนใช้วิชานางแอ่นถลาลมให้มากขึ้น เคอซาร์กลับปะทุความโกรธออกมาอีกครั้งหนึ่ง การโจมตีของมันยังคงรุนแรงเหมือนเช่นเคย ราวกับมีเรี่ยวแรงให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น
‘โชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดต่อสู้กับมันจริงจัง ไม่งั้นเราคงแพ้ไปแล้ว’ อู๋ฝานพึมพำอยู่ในใจ
แม้ในใจครุ่นคิดเรื่องอื่น แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหว เขายังคงใช้พลังของวิชานางแอ่นถลาลมเคลื่อนที่และรับมือกับเคอซาร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการผลาญทั้งเรี่ยวแรงกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่าย
แม้ฝั่งของอู๋ฝานยังคงสบายดี แต่ด้านทหารกบฏและทหารราชสำนักที่เขาอัญเชิญออกมาไม่ได้สุขสบายเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้ทหารกบฏถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ต้านรับทหารม้าโลกอสูร แม้จะลดทอนความเร็วของพวกมันได้สำเร็จ แต่ความเสียหายก็ไม่น้อย อีกทั้งหากเทียบเปรียบด้านพละกำลัง พวกมันก็ยังแย่กว่าทหารม้าโลกอสูรอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย หลังเปิดศึกย่อมไม่อาจต้านรับเอาไว้ได้นาน ไม่นานก็เริ่มถูกสังหารจนแทบหมด
ส่วนความแข็งแกร่งของทหารราชสำนักนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวได้ว่าพวกมันแทบจะเทียบเท่าทหารม้าโลกอสูร กระทั่งเหนือกว่าด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโบนัสพิเศษจากป้ายอัญเชิญ แต่เพราะก่อนหน้านี้ต้องต้านรับการบุกของทหารม้าที่พุ่งเข้ามาจึงตายไปหลายคน และเหนืออื่นใดคือทหารราชสำนักมีจำนวนน้อยกว่าทหารม้าโลกอสูรอย่างเห็นได้ชัด
ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อการสู้รบดำเนินผ่านมาได้ระยะหนึ่ง อู๋ฝานไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ทหารกบฏตายจนหมดสิ้น และปัจจุบันเหลือทหารราชสำนักอยู่ไม่มาก ขณะที่ทางฝั่งทหารม้าโลกอสูรยังมีผู้ยืนหยัดบนหลังม้าเกือบยี่สิบ อีกทั้งเคอซาร์ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดแรง
อู๋ฝานกำลังจะเผชิญศึกที่เสียเปรียบ
“ล้อมมันเอาไว้!”
หลังทหารม้าโลกอสูรสังหารทหารราชสำนักคนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เคอซาร์จึงออกคำสั่งให้พวกมันที่เหลือเข้าปิดล้อมชายหนุ่ม ก่อนจะเริ่มลดระยะของวงล้อมให้แคบลงทีละน้อย
เมื่อใดอีกฝ่ายถูกปิดล้อม เมื่อนั้นก็จะไม่อาจใช้ความว่องไวช่วงชิงความได้เปรียบ เคอซาร์มั่นใจว่าตอนนั้นตนจะสามารถสังหารศัตรูได้ตามต้องการ
หลังคิดได้ดังนั้น เคอซาร์จึงมองหน้าอู๋ฝานก่อนจะเผยยิ้มชั่วร้ายออกมา
วงล้อมเริ่มลดขนาดลง ระยะที่อู๋ฝานสามารถใช้เคลื่อนที่ได้โดยรอบเริ่มถูกบีบให้เล็กลงเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเคอซาร์ยิ่งเผยกว้างขณะทวีความโหดเหี้ยม
“ตาย!” เมื่อเห็นอู๋ฝานไม่เหลือพื้นที่ให้เคลื่อนไหวมากนัก เคอซาร์ก็ลงมือโจมตีอีกครั้ง มันเป็นการโจมตีอันรุนแรง ดาบใหญ่ฟันเป็นแนวโค้งหมายสะบั้นลำคอของศัตรูให้ขาดวิ่น
ในขณะเดียวกัน ทหารม้าโลกอสูรที่ยังเหลือต่างลงมือแทบจะพร้อมกัน อาวุธในมือของพวกมันกำลังมุ่งเป้าเล่นงานชายหนุ่ม
ครั้งนี้อู๋ฝานไม่กระโดด เพราะเขาตระหนักได้ถึงแนวทางการโจมตีของอีกฝ่าย เคอซาร์เตรียมมันรอไว้อยู่แล้วอย่างแน่นอน และด้วยวงล้อมระยะนี้ ต่อให้คิดอยากกระโดดเพื่อหนีออกไปก็ไม่อาจทำได้
แต่เพราะไม่อาจกระโดด ก็ไม่ได้หมายความว่าตนจะไร้วิธีการฝ่าวงล้อม ในเมื่อไปทางด้านบนไม่ได้ ก็ต้องไปทางด้านล่าง!
อู๋ฝานฉีกยิ้มให้เคอซาร์ อีกฝ่ายที่เห็นถึงกับเผยสีหน้ามึนงงตอบกลับมา แต่ไม่นานร่างของชายหนุ่มก็เริ่มลดต่ำลงกับพื้นก่อนจะจมหายไปในพื้นดินตั้งแต่เท้าจรดหัว
การโจมตีของเคอซาร์และพรรคพวกพลาดเป้าไปอีกครั้ง ชายหนุ่มดำดินลงไปต่อหน้าต่อตา พวกมันได้เห็นกันอย่างชัดเจน แต่ขณะกำลังตื่นตกใจที่ศัตรูถึงขั้นทำแบบนี้ได้อยู่นั้น พวกมันก็ต้องลอบมองหาตัวศัตรูอย่างไม่รู้ทิศทาง
ขณะเวลานี้เองที่อู๋ฝานปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านหลังทหารม้าโลกอสูรคนหนึ่ง ก่อนศัตรูจะทันตอบสนอง เขาก็ใช้กระบี่ยาวของตนเองผ่าร่างคู่ต่อสู้ไปเรียบร้อย
“อั่ก!” ทหารม้าโลกอสูรส่งเสียงเจ็บปวดออกมา แต่เพราะความแข็งแกร่งจึงสามารถอดกลั้นต่อความเจ็บปวดนั้นได้ มันหันกลับหมายจะฟันอาวุธใส่อู๋ฝาน
“มันอยู่นี่! ระวังด้วย!” หลังอู๋ฝานลงมือ เคอซาร์ก็เห็นเช่นกัน ขณะนี้จึงตะโกนเตือนพรรคพวก แต่กว่าจะก้าวเท้าก็ช้าเกินไป
ขณะชายหนุ่มเห็นทหารม้าโลกอสูรคิดใช้ดาบใหญ่เล่นงานตนเอง เขาก็ถอนกระบี่กลับและถอยเท้า ก่อนจะยิ้มให้กลุ่มคนและหายตัวลงดินไปอีกครั้ง
แน่นอนว่าอู๋ฝานย่อมปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังของทหารม้าอีกคนหนึ่ง หลังแทงเล่นงานศัตรู เขาก็หนีกลับลงดินหายตัวไปอีกครั้ง
ไร้ยางอาย!
ไร้ศักดิ์ศรี!
โฉดชั่วต่ำช้า!
……
เคอซาร์สบถก่นด่าออกมาไม่หยุดหย่อน มันทราบว่าศัตรูอยู่ใต้ดิน ดาบเล่มยักษ์ในมือจึงพยายามฟาดไปยังตำแหน่งที่อู๋ฝานปรากฏตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทุกครั้งกลับหวดได้แต่ลม
ทหารม้าโลกอสูรคนอื่นก็เผชิญหน้าสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน ทุกครั้งที่พวกมันลงมือตอบโต้ ก็พบว่าช้ากว่าอู๋ฝานไปก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายยังคงได้เปรียบ ทั้งยังสามารถดำดินได้ดังใจนึก และพอพวกมันเผลออีกฝ่ายก็จะปรากฏตัวจากที่ใดก็ไม่ทราบเพื่อใช้กระบี่แทงเล่นงาน
เคอซาร์และลูกน้องที่ไม่อาจตอบโต้กำลังโกรธแค้น ในเวลาไม่ถึงจิบชาอึกหนึ่ง ทหารม้าโลกอสูรทั้งหน่วยย่อยยกเว้นเคอซาร์ ต่างก็ตายลงด้วยคมกระบี่ของอู๋ฝาน
หลังสังหารทหารม้าโลกอสูรคนสุดท้ายหากไม่นับเคอซาร์เรียบร้อย อู๋ฝานก็ไม่กลับลงดินทันที แต่เลือกที่จะยืนนิ่งมองอีกฝ่ายที่เหลือเพียงคนเดียวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
นัยน์ตาของเคอซาร์กำลังวาวโรจน์ด้วยเพลิงแห่งโทสะ เจตนาชั่วร้ายกำลังแผ่พุ่งออกจากร่างกาย ดาบในมือของมันเริ่มลดต่ำลง สายตาจับจ้องอู๋ฝานไม่วาง
เมื่อครู่นี้ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าต่อตา อู๋ฝานกลับสังหารคนของมันไปคนแล้วคนเล่า สำหรับมันที่เป็นผู้บัญชาการคือความอับอาย อีกฝ่ายกำลังเหยียดหยามตนอย่างถึงที่สุด กล่าวได้ว่าทั้งชีวิตของเคอซาร์ไม่เคยถูกเหยียดหยามถึงขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้ต่อให้สับร่างอู๋ฝานเป็นชิ้นเนื้อ มันก็ยังไม่มากพอจะระบายความเกลียดชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจด้วยซ้ำ!
…………….