ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 620 กองทัพโลกอสูรที่ใกล้เข้ามา
บทที่ 620 กองทัพโลกอสูรที่ใกล้เข้ามา
“ฉัวะ!”
กระบี่ยาวของอู๋ฝานแทงใส่ร่างของเคอซาร์อีกครั้ง มันฝากรอยแผลรวมถึงประกายสายฟ้าสีม่วงแปลบปลาบไว้
“อั่ก!… เจ้า…” เคอซาร์มองราวกับไม่คิดเชื่อ ใครจะคาดคิด กระทั่งเขาเองก็ไม่คาดว่าจะต้องมาตายด้วยมือของอู๋ฝาน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งทัดเทียมตนเองเลยด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่าจะเชื่อและยอมรับหรือไม่ ข้อเท็จจริงนี้ก็ปรากฏแล้ว เพราะเขารับรู้ได้ถึงชีวิตที่กำลังแห้งเหือดลง
“เฮือก!”
ร่างของเคอซาร์กระตุกอยู่หลายครั้ง ก่อนสุดท้ายจะล้มลงไปนอนกับพื้น แขน ขา และร่างกายยังคงกระตุกอยู่บ้าง มันเกิดขึ้นเพราะสายฟ้าสีม่วงที่เคลื่อนตัว ดวงตาเคอซาร์เบิกกว้าง สีหน้าแข็งค้าง เมื่อครู่นี้คือลมหายใจเฮือกสุดท้ายในช่วงชีวิตแล้ว
[ติ๊ง!]
[เลเวลอัป!]
หลังเคอซาร์หมดลมหายใจ เสียงจักรกลอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน ตอนที่สังหารอสูรแห่งห้วงน้ำครั้งก่อน เขาแทบจะเลเวลอัปอีกครั้งอยู่แล้ว และครั้งนี้ด้วยการสังหารหลางเหยี่ยและเคอซาร์ ที่ถือได้ว่าเป็นตัวตนระดับมินิบอสถึงสอง รวมกับหน่วยทหารม้าโลกอสูร ค่าประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมดจึงทำให้เลเวลของอู๋ฝานเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“เลเวลอัปแต่ละครั้งยากเย็นดีจริง ๆ” อู๋ฝานบ่นพึมพำขณะเดินไปข้างกายเคอซาร์ เพื่อรวบรวมสิ่งของที่ดร็อปมาจากความตายของอีกฝ่าย
“ตายตาไม่หลับ เพราะตายอย่างไม่คาดคิดสินะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองขณะมองดวงตาของเคอซาร์ที่ยังเบิกกว้าง
เคอซาร์ตายอย่างไม่คาดคิดจริง รอบนี้วิชากระบี่สายฟ้าอินทนิลรับหน้าที่ใหญ่ อย่างไรมันก็เป็นถึงวิชาระดับสวรรค์ นอกจากวิชากระบี่สายฟ้าอินทนิลแล้ว อู๋ฝานก็ยังมีไพ่ลับใบอื่นให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้นแม้เคอซาร์จะแข็งแกร่งกว่าอย่างไร ก็จะต้องตายด้วยมือของเขา
เมื่อเก็บของเรียบร้อย อู๋ฝานก็เก็บกวาดพื้นที่สู้รบอีกครั้ง ทหารม้าโลกอสูรเป็นมอนสเตอร์เลเวลสูงภายในโลกแห่งเกม ดังนั้นอัตราการดร็อปไอเทมจากพวกมันจึงต้องสูงกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปอยู่พอสมควร
หลังเก็บกวาดสมรภูมิเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ใช้งานวิชานางแอ่นถลาลมเพื่อเร่งเดินทาง แม้จะสามารถใช้งานป้ายพาหนะเปลี่ยนเป็นม้าได้ แต่มันก็ต้องจ่ายด้วยค่าประสบการณ์ และเพราะการต่อสู้เมื่อครู่ มันทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของวิชานางแอ่นถลาลม ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่จะฝึกฝนจนเกิดความก้าวหน้าขึ้น
ระหว่างทาง อู๋ฝานได้พบผู้อพยพที่หลบหนีจากทหารกบฏ รวมถึงทหารม้าโลกอสูรที่ไม่ใช่กลุ่มเดิมซึ่งตามล่าพวกตนอยู่ด้วย พวกมันออกตามล่าทั้งทหารกบฏและผู้อพยพ สำหรับคนเหล่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากองทหารม้าโลกอสูร มันหมายถึงความตาย พวกเขาไม่มีกำลังพอจะต่อสู้หรือต่อต้านแม้แต่น้อย
‘ดูเหมือนพวกคนของโลกอสูรจะเริ่มขยับขยายพื้นที่รุกรานแล้ว’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจขณะรีบเดินทางต่อ
ก่อนหน้านี้คนของโลกอสูรมักจะเคลื่อนไหวอยู่บริเวณทุ่งรกร้าง ส่วนที่นี่ยังอยู่ค่อนข้างไกลห่างจากทุ่งรกร้างพอสมควร ทว่าทหารม้าโลกอสูรกลับมาปรากฏตัวที่นี่ มันเป็นหลักฐานว่าพื้นที่แถบนี้ถูกคนของโลกอสูรรุกราน พวกมันกำลังขยายพื้นที่และพยายามจะช่วงชิงดินแดน
สถานการณ์ดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับทั้งอาณาจักรเหยียนเฟิงและอู๋ฝาน
อาณาจักรเหยียนเฟิงมีพวกกบฏมากมาย กระทั่งว่าเริ่มปรากฏตัวมากขึ้นมาไม่หยุด แค่นั้นทางราชสำนักก็ร้อนใจไม่น้อยแล้ว ดังนั้นการจะแบ่งกำลังคนไปจัดการตอบโต้โลกอสูรจึงยิ่งเป็นไปอย่างจำกัด
สถานการณ์นี้มันส่งผลกระทบถึงอู๋ฝานด้วยเช่นกัน เพราะเทศมณฑลชิงหยวนก็ไม่ได้อยู่ไกลจากทุ่งรกร้าง เนื่องจากปัจจุบันโลกอสูรกำลังรุกรานเพื่อขยายชายแดนเพิ่มขึ้น ดังนั้นเทศมณฑลชิงหยวนจึงยิ่งตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้เขาไม่อาจเมินเฉยต่อที่ดินศักดินาของตนเองได้ ตนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและปกป้องดินแดน ยิ่งไปกว่านั้น รากฐานเช่นหมู่บ้านเร้นลับก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงต้องใส่ใจและคอยระมัดระวังมากขึ้น
‘ถ้าจบเรื่องอาณาจักรหนานปิงเมื่อไหร่ คงต้องรีบกลับเทศมณฑลชิงหยวนโดยด่วนแล้ว’ อู๋ฝานครุ่นคิด
ส่วนเรื่องที่เคยบอกว่าจะไปอยู่อาณาจักรหนานปิง ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ไม่ว่าอย่างไรหมู่บ้านเร้นลับก็มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง เขาไม่อาจหักใจทิ้งไปได้
อู๋ฝานรีบเดินทางต่อเนื่อง จนในที่สุดก็มาถึงเทศมณฑลหลิ่วอวิ๋นซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
จากระยะไกล เขาเห็นทหารมากมายยืนอยู่เหนือกำแพงเมืองของเทศมณฑลหลิ่วอวิ๋น ตอนนี้ประตูเมืองถูกปิดเอาไว้แน่น
“คนที่อยู่นอกเมืองจงรีบไปให้พ้นโดยเร็ว! ประตูเมืองปิดแล้ว หากต้องการจะเข้าเมืองจงมาใหม่ในวันพรุ่งนี้!” ขณะอู๋ฝานเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงของทหารบนกำแพงเมืองตะโกนบอก
“ข้าคือจื่อเจวี๋ยแห่งองค์เหนือหัว ผู้บัญชาการรักษาความสงบอู๋ฝาน! ขณะนี้ต้องการขอเข้าเมือง!” เขาตะโกนบอกเสียงดัง
หลังพูดจบก็นำเอาป้ายประจำตัวออกมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดู
เจ้าหน้าที่คนนั้นมองมาจากระยะไกล หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตะโกนเสียงดัง “เปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองอันหนักอึ้งเปิดออกอย่างช้า ๆ ทันทีที่ผ่านประตูเมืองเข้าไปก็ได้พบกับพวกอูหย่าที่มาถึงก่อน
“อู๋ฝาน เจ้าเป็นไรหรือไม่?”
“นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
พวกอูหย่าค่อนข้างกังวลเป็นห่วงอู๋ฝานพอสมควร
“ข้าไม่เป็นไร” อู๋ฝานตอบกลับ
ขณะนี้เองที่ประตูเมืองอันหนักอึ้งถูกปิดลงอีกครั้ง พร้อมเสียงบานประตูกระทบกันดังสนั่น
ชายหนุ่มหันไปมองทางประตูเมืองก่อนจะเอ่ยถาม “ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ทำไมเทศมณฑลหลิ่วอวิ๋นถึงปิดประตูเมืองเร็วขนาดนี้กัน?”
ปกติแล้วเมืองทั้งหลายในยุคนี้จะปิดประตูในยามค่ำคืน เพื่อไม่ให้ใครเข้าและออกจากเมืองในยามวิกาล ทว่าตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยด้วยซ้ำ กล่าวคือฟ้ายังไม่มืด แต่ทางเทศมณฑลกลับปิดประตูเมืองแน่น เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องแปลก
“นายท่าน พวกคนในเมืองทราบเรื่องที่มีกองทัพโลกอสูรอยู่โดยรอบแล้ว ทางผู้ว่าการเทศมณฑลหลิ่วอวิ๋นกลัวว่าพวกมันจะบุกตีเมือง ดังนั้นจึงสั่งให้ปิดประตูเมืองเร็วกว่าปกติ ตอนพวกเรามาถึงยังต้องอธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าเมืองมาได้เจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยอธิบายออกมา
“เป็นแบบนี้นี่เอง” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ สถานที่ที่พวกเขาได้พบกองทหารม้าโลกอสูรอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ก็จริง แต่ไม่ได้ห่างมากมายอะไรนัก ไม่แปลกหากผู้ว่าการเทศมณฑลจะกังวลขึ้นมา
“กองทัพโลกอสูรมาแล้ว! พวกมันเข้ามาใกล้แล้ว!”
ขณะนี้เองที่เสียงตะโกนดังมาจากบนกำแพงเมือง อู๋ฝานหันมองอีกฝ่ายก่อนจะขึ้นไปด้านบนเพื่อตรวจสอบ
“อย่าเพิ่งแตกตื่น! กองทัพโลกอสูรไม่เชี่ยวชาญการบุกตีเมือง พวกมันไม่อาจเข้ามาได้!” เหนือกำแพงเมือง คนที่เมื่อครู่ตะโกนบอกชายหนุ่มกำลังปลอบขวัญทหารที่อยู่ด้านบนกำแพงเมือง เห็นได้ว่าเขาคือผู้บังคับบัญชา
พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของกองทัพโลกอสูรมาก่อน แม้จะไม่เคยสู้กับตัว แต่แค่เรื่องเล่าก็มากพอจะทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
“คำนับใต้เท้า!” ขณะผู้บัญชาการหนุ่มเห็นอู๋ฝาน เขาก็ประสานมือโค้งศีรษะให้ เนื่องจากบนกำแพงเมืองไม่อนุญาตให้คนทั่วไปขึ้นมา แต่สถานะของอู๋ฝานสูงส่งกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขับไล่อีกฝ่ายลงไป
อู๋ฝานพยักหน้าตอบก่อนจะเอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
ผู้บัญชาการหนุ่มตอบกลับ “พวกเราได้ยินเรื่องการรุกรานของกองทัพโลกอสูรในพื้นที่ใกล้เคียง และคาดว่าจะมีจำนวนราวหนึ่งพันห้าร้อยขอรับ พวกมันเริ่มออกปล้นชิงและทำลายเมืองกับหมู่บ้านตามเส้นทาง พวกเราไม่ทราบว่าพวกมันจะผ่านมาที่นี่หรือไม่ หรือหากมาแล้วจะบุกตีเทศมณฑลหรือไม่ขอรับ”
เขายืนบนกำแพงเมืองขณะมองสถานการณ์ภายนอก รวมถึงฟังคำอธิบายเรื่องกองทัพโลกอสูรไปด้วย
…………….