ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 627 สะกดรอย
บทที่ 627 สะกดรอย
เจียงฟั่นโจวกลับไปแล้ว แต่ไม่ได้กลับไปกันทุกคน เพราะเขาให้คนสองคนคอยอยู่หน้าห้องเป็นผู้พิทักษ์ประตูไม่ให้ใครเข้าออก
ดังนั้นสวี่จื่อฉีและพี่จ้าวจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับถูกคุมขัง
“ทำไมตระกูลเจียงถึงทำแบบนี้? ไอ้เวรนั่นตายไปเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย ทำไมต้องมาขังพวกเราเอาไว้แบบนี้กัน? เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นต่างหากที่คิดทำเรื่องไม่ดีก่อน แต่พอมันทำคนอื่นกลับไม่เป็นไรงั้นเหรอ ตายไปได้ก็สมควรแล้ว!” หลังเจียงฟั่นโจวกลับไปแล้ว พี่จ้าวจึงปิดประตูห้องก่อนจะสบถออกมาเป็นชุด
สวี่จื่อฉีนั่งนิ่งบนเตียงอย่างไร้สีหน้าและอารมณ์ เธอไม่พูดอะไรตอบ
พี่จ้าวยังไม่หยุดบ่นจนกระทั่งเหนื่อยและหยุดไปเอง ก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ สวี่จื่อฉีพลางถาม “จื่อฉี เธอไม่รู้อะไรเรื่องที่เจียงอวี่ตายเลยงั้นเหรอ?”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบ
“ฉันจำได้ว่าตื่นมาตอนกลางดึก แม้จะไม่ได้ตื่นดีแต่ก็ยังพอรับรู้อะไรได้อยู่ เมื่อคืนเธอได้ตื่นมากลางดึกบ้างรึเปล่า?” พี่จ้าวเอ่ยถาม
“ไม่ค่ะ” สวี่จื่อฉีตอบกลับอย่างหนักแน่น
“ไม่เลยเหรอ?”
“พี่จ้าวกำลังหมายความว่าอะไร? สงสัยฉันด้วยงั้นเหรอ?” หญิงสาวชักสีหน้า
“ฉันไม่ได้สงสัยเธอ ต่อให้เธอตื่นดีก็ตอบโต้เจียงอวี่ไม่ได้อยู่ดี” พี่จ้าวตอบกลับ “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจียงอวี่ถูกใครก็ไม่รู้ฆ่า คนคนนั้นน่าจะต้องเข้ามาในห้อง ความหมายของฉันคือถ้าเธอตื่นก็อาจจะมีโอกาสเห็นคนร้าย”
“ฉันไม่ได้ตื่นค่ะ แล้วก็ไม่ได้เห็นคนร้ายด้วย” สวี่จื่อฉีตอบกลับ
“อือ” พี่จ้าวหยุดซักถาม “แต่เจียงอวี่จะตายยังไงฉันก็ไม่สนใจหรอก ใครฆ่าก็ไม่สนด้วย ที่ต้องห่วงตอนนี้คือพวกเราจะได้กลับกันตอนไหน วันพรุ่งนี้มีงานแถลงข่าว แผนเดิมคือกลับไปที่เมืองหลวงวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้กลับถูกขังอยู่ที่นี่และออกไปไหนไม่ได้ ยิ่งคิดเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลเจียงทำเกินไปแล้ว!”
“พี่จ้าว บ่นกับฉันไปก็เท่านั้นแหละค่ะ ถ้าฉันเป็นพี่จะโทรไปที่บริษัทให้ทางนั้นช่วยเหลือต่างหาก” สวี่จื่อฉีตอบกลับ
“จริงด้วย ต้องไปโทรบอกก่อน” พี่จ้าวตอบรับ
พี่จ้าวไปยืนโทรพูดคุยกับทางบริษัท ขณะสวี่จื่อฉีล้มตัวลงนอนบนเตียงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
แท้จริงแล้วสวี่จื่อฉีโกหกกับทั้งเจียงฟั่นโจวและพี่จ้าว เมื่อคืนเธอตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมึนงงเหมือนที่พี่จ้าวบอก ไม่รู้ว่ายาที่เจียงอวี่ใช้นั้นหมดอายุ หรือเพราะว่าไปซื้อหามาจากที่ไหน แต่เธอก็ตื่นขึ้นมาจริง ๆ
ตอนที่เธอตื่นขึ้นเป็นช่วงก่อนอู๋ฝานจะมาถึง ตนสะลึมสะลืออยู่หลายนาทีจนถึงช่วงที่ชายหนุ่มมา ดังนั้นจึงทราบว่าอีกฝ่ายมาที่นี่โดยการพังหน้าต่าง ส่วนเข้ามาได้ยังไงนั้นไม่ทราบ เพราะสุดท้ายเธอหลับไปอีกครั้งหลังชายหนุ่มบุกเข้ามา ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นว่าอู๋ฝานฆ่าเจียงอวี่ยังไง
แม้เธอไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่สวี่จื่อฉีก็เดาได้ว่าที่เจียงอวี่ตายจะต้องเกี่ยวข้องกับอู๋ฝาน แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วตระกูลเจียงก็จะไปเอาความกับชายหนุ่มที่มาช่วยเธอเอาไว้ ตนไม่อยากสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายไปมากกว่านี้แล้ว
เพราะแบบนั้นเธอจึงตัดสินใจโกหกออกไป
‘หวังว่าตระกูลเจียงจะตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ได้นะ’ สวี่จื่อฉีทำได้แค่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
ส่วนเรื่องที่ถูกกักขังเอาไว้ที่นี่ สวี่จื่อฉีไม่ทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าใครหากมีตาก็จะทราบว่าเธอไม่มีทางฆ่าเจียงอวี่ได้ อีกทั้งตนยังเป็นคนดังระดับประเทศ แม้ในสายตาของคนส่วนใหญ่เธอคือนักแสดง แต่ตระกูลเจียงคงไม่มีทางฆ่าเธอ เพราะพวกเขาทราบว่าไม่มีทางเป็นฆาตกรไปได้
ส่วนเรื่องที่โดนกักขังเอาไว้ หญิงสาวไม่คิดใส่ใจ เพราะหลายวันมานี้เธอต้องเดินทางไปมาจนเหนื่อยล้า ขณะนี้นับเป็นช่วงเวลาดี ๆ ให้เธอได้พักผ่อน กระทั่งหวังจะให้ถูกกักบริเวณนานอีกสักหน่อยด้วยซ้ำไป
การสืบสวนของตระกูลเจียงยังคงดำเนินต่อไป ความตายของเจียงอวี่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในเจียงโจว บางคนจับตามองเรื่องนี้ด้วยความตื่นเต้น ทว่าบางคนเวทนาต่อความโชคร้าย แต่ไม่มีใครเห็นใจแม้แต่คนเดียว เพราะความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงเป็นไปในทางการแข่งขัน ไม่ใช่พันธมิตรที่ร่วมมือ
อู๋ฝานเองก็ไม่คิดใส่ใจเรื่องทางตระกูลเจียง หลังทานอาหารเช้าจึงเตรียมไปมหาวิทยาลัยเจียงโจว
ไม่นานหลังขับรถออกมา เขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนแอบสะกดรอยตาม เนื่องจากมีประสบการณ์อันตรายจากโลกแห่งเกม ทำให้ชายหนุ่มได้ความสามารถรับรู้ถึงอันตรายมาด้วย นอกจากนี้ตนยังเป็นถึงขอบเขตมืดขั้นสูงสุด ความสามารถในการสังเกตรอบด้านย่อมดีกว่าคนทั่วไป
“น่าสนใจดีนี่” อู๋ฝานยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจหาคำตอบว่าใครกันที่ตามตนเอง
เพียงเหยียบคันเร่ง รถของอู๋ฝานก็เร่งความเร็วพุ่งทะยานออกไป ก่อนจะเลี้ยวซ้ายและขวาไปตามถนนในเมืองด้วยความว่องไว
“เร็วเข้าสิ! เร็วเข้า มันหายไปแล้ว” คนที่นั่งข้างคนขับของรถที่กำลังตามอู๋ฝานร้องเร่ง
“คิดว่าฉันไม่อยากตามให้เร็วกว่านี้รึไง? รถของฉันจะไปเทียบกับรถคันนั้นได้ยังไง?” คนขับรถตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “อู๋ฝานนั่นก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว รถก็ดี เทคนิคการขับรถก็เยี่ยม ความเร็วขนาดนั้นไม่กลัวฆ่าตัวตายบ้างเหรอ?”
“หยุดพูดจาไร้สาระแล้วจับตามองให้ดี ถ้าพวกเราคลาดสายตา และเบื้องบนของตระกูลรู้เข้าคงตัดหางพวกเราปล่อยวัด”
“รู้แล้วน่า จะย้ำทำไมกัน?”
รถที่ตามมาเร่งความเร็วตาม ทว่าประสิทธิภาพระหว่างรถทั้งสองคันแตกต่างกันมากเกินไป ฝีมือการขับรถของคนที่สะกดรอยตามก็ไม่ได้ดี ดังนั้นเพียงแค่ห้านาที คนทั้งสองที่ได้รับหน้าที่ติดตามสะกดรอยอู๋ฝานจึงทราบว่าไม่อาจสะกดรอยตามต่อได้
“ฉันบอกให้รีบไง! นายช้าจนพวกเราคลาดสายตาไปจากมันแล้ว คราวนี้กลับไปจะอธิบายเบื้องบนว่ายังไงล่ะ?” ชายคนที่นั่งข้างคนขับเริ่มบ่น
“นายก็พูดง่ายสิ ทำไมไม่มาขับเองล่ะ? ทั้งรถกับความเร็วแบบนั้นใครจะไปตามทันได้?” คนขับตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจ แค่คลาดสายตาจากอู๋ฝานก็ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีมากพอแล้ว เมื่อได้ยินคำต่อว่าของเพื่อนร่วมงานจึงเริ่มโมโห
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไง?”
“ถามฉันแล้วจะตอบได้ไหม?”
คนทั้งสองหยุดรถก่อนจะนั่งนิ่งด้านในด้วยความรู้สึกจนใจ
“ตึง!”
ตอนนี้เองที่มีรถคันหนึ่งขับพุ่งมาจากทางด้านข้าง ทั้งยังมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่สองคนในรถจะทันตอบสนองก็ถูกรถคันดังกล่าวชนแล้ว
แรงปะทะอันรุนแรงทำให้รถต้องกลิ้งกับพื้นไปหลายตลบก่อนจะหยุดนิ่ง และการที่รถกลิ้งไปมาหลายตลบแบบนั้น ก็ทำให้คนทั้งสองในรถได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสไปด้วยเช่นกัน
คนทั้งสองกำลังมึนงงขณะมองรถที่พุ่งเข้ามาชน
“ทำไมรถนี่มันดูคุ้นจัง?”
“รถอู๋ฝานไม่ใช่เหรอ?!”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็หมดสติไป
…………….