ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 629 เขาไม่มีเวลา
บทที่ 629 เขาไม่มีเวลา
“คือว่า ผมมีเรื่องจะขอให้ช่วยน่ะครับ” หลังจบคาบเรียนว่ายน้ำ อู๋ฝานก็มาพบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์พลางเอ่ยปากด้วยท่าทีลำบากใจ
“เรื่องอะไรเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอีกฝ่ายพลางถามกลับด้วยความสงสัย
แม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองจะพูดคุยกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ช่วงออกกำลังกายตอนเช้าเท่านั้น ตอนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเรียกเธอออกมาหาอย่างเป็นทางการพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
“คือว่า ช่วงกลางวันพอจะมีเวลาว่างไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามด้วยท่าทีลังเล
“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังถนอมคำพูดเหมือนที่เคยเป็น
“ผมอยากจะเลี้ยงอาหารสักมื้อน่ะครับ” อู๋ฝานเอ่ยบอกออกมา
“แค่ทานอาหารเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มีสายตาที่ดีกว่าคนทั่วไป เพียงแค่มองก็ทราบว่าชายหนุ่มมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
“อันที่จริงก็มีเรื่องอื่นด้วยครับ” เขาตอบแม้จะลังเลไปบ้างก็ตาม “คือว่าช่วงนี้มีนักศึกษาในคาบเรียนเข้าหาผมจนเกินไป ก็เลย…”
“เธอคนนั้นชอบคุณ? แล้วก็ไล่ตามจีบด้วย?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดตรง ๆ แม้อู๋ฝานพยายามจะสงวนถ้อยคำเอาไว้ แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอจะเข้าใจความหมาย
“เป็นไปได้ว่าจะเป็นแบบนั้นครับ ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบกลับ “แต่ผมไม่ได้คิดอะไรเลยนะครับ ปฏิเสธไปหลายครั้งแล้วด้วย ไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อมก็ทำไปหมดแล้ว แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเลย เพราะแบบนั้น…”
“ก็เลยอยากจะขอให้ฉันช่วยแกล้งเป็นแฟน?” เธอเอ่ยถามตรง ๆ อีกครั้ง ทว่าตอนที่พูดออกมาใบหน้าก็แดงเล็กน้อย กระทั่งหัวใจเต้นรัวเร็ว
“ถ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมหรือยังไง ลืมมันไปก็ได้ครับ ผมเองก็รู้ดีว่าคำขอนี้มันมากเกินไป…” อู๋ฝานรีบร้อนตอบกลับ
“ฉันตกลงค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ
“ครับ?” ชายหนุ่มชะงักไป
“ฉันบอกว่าตกลงเป็นแฟนของคุณค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ และตอนที่พูดจบนั้นสีหน้าเธอคล้ายจะแดงระเรื่อขึ้นมา
นอกจากนี้เธอยังพูดออกมาชัดเจนว่าเป็นแฟน ไม่ใช่แกล้งเป็นแฟน แต่อู๋ฝานไม่เข้าใจถึงความต่างของคำตอบเหล่านั้น
“จริงเหรอครับ? เยี่ยมเลย!” เขาตอบรับอย่างยินดี แม้จะแค่แกล้งเป็นแฟน แต่การที่เธอตอบรับโดยไม่ลังเล อย่างน้อยก็แสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้เกลียดอะไรในตัวเขา อย่างน้อยก็คงมองตนในแง่ดีและมีความรู้สึกดี ๆ ให้
เมื่อคิดได้ดังนั้นมันก็มากพอที่จะทำให้อู๋ฝานตื่นเต้น เขาเคยคิดว่าการที่เจ้าเสวี่ยอี๋คอยตามติดหลอกหลอนคือเรื่องน่ารำคาญ ทว่าตอนนี้กลับขอบคุณอีกฝ่ายซะอย่างนั้น เพราะหากไม่ได้เธอเข้ามาทำให้เกิดเรื่อง ตนก็คงไม่มีโอกาสหรือมีข้ออ้างขอให้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับการแกล้งเป็นแฟนเช่นตอนนี้
คนทั้งสองตกลงนัดพบกันที่ร้านโลกในแหวนดั้งเดิมช่วงกลางวัน หลังจากนั้นอู๋ฝานก็ออกจากมหาวิทยาลัยเจียงโจวไปจัดการธุระของตนเอง ส่วนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังมีคาบเรียนที่ต้องเข้า
ขณะชายหนุ่มเดินหน้าตาชื่นบานออกจากมหาวิทยาลัยเจียงโจว ด้านเจียงฟั่นโจวกำลังมองคนทั้งสองที่ส่งไปสะกดรอยตามและเฝ้าจับตามองอู๋ฝานที่โรงพยาบาลด้วยสีหน้าดำคล้ำ
ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บหลายตำแหน่ง ทั้งยังมีกระดูกหักด้วย แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่คงต้องใช้ชีวิตบนเตียงไปอีกหลายเดือน ตอนเจียงฟั่นโจวเห็นสภาพอันน่าสังเวชของคนทั้งสอง เขาก็ทราบทันทีว่าคนโชคร้ายทั้งสองถูกอู๋ฝานพบว่าสะกดรอยตาม
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเจียงฟั่นโจวไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เพราะการสะกดรอยตามอีกฝ่ายนั้น มันขึ้นอยู่กับเวลาว่าเขาจะรู้ตัวเมื่อไหร่ แต่ตนก็ไม่ได้คาดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้
อีกทั้งเขายังไม่อาจไปเรียกร้องหาคำอธิบายจากการกระทำของอู๋ฝานได้ เนื่องจากเป็นคนขอให้คนของตนเฝ้าจับตามอง อีกฝ่ายที่เจอจะตอบสนองแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“พวกนายสองคนรับช่วงจับตาดูอู๋ฝานต่อ” เจียงฟั่นโจวเอ่ยกับบอดี้การ์ดสองคนข้างกาย “ตอนสะกดรอยก็ระวังด้วย”
บอดี้การ์ดทั้งสองมองสองผู้โชคร้ายซึ่งนอนเป็นผักอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล สภาพนั้นไม่ต่างอะไรกับอาการสาหัส พวกเขาถึงกับต้องกลืนน้ำลาย แม้ในใจจะร้องปฏิเสธ แต่ปากกลับไม่อาจเอ่ยออกไปได้
“ครับ” คนทั้งสองตอบรับด้วยความจนใจ
เจียงฟั่นโจวพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับออกจากโรงพยาบาลไป
“เถ้าแก่ ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีคะ?” ขณะอู๋ฝานมาถึงร้านโลกในแหวน เฉินปิงเหยาที่เดินเข้ามาทักทายอดไม่ได้ที่จะต้องถาม
“ผมดูอารมณ์ดีเหรอครับ?” เขาถามกลับ
“เหมือนคนเพิ่งเก็บเงินก้อนโตได้จากข้างทางไม่มีผิดเลยค่ะ” เฉินปิงเหยาตอบ
“ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชายหนุ่มเริ่มสงบอาการและสีหน้าลง “วันนี้เห็นเจ้าเสวี่ยอี๋มาบ้างไหมครับ?”
“เถ้าแก่เปลี่ยนใจแล้วเหรอคะ?” เฉินปิงเหยาเอ่ยถาม “ทั้งที่ก่อนหน้านี้เถ้าแก่แทบจะภาวนาให้เธอคนนั้นไม่โผล่หน้ามาอีก แต่ทำไมวันนี้ออกปากถามถึงก่อนได้? เกิดหลงเสน่ห์อดีตเพื่อนร่วมรุ่นแล้วเหรอคะ?”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวทราบดีว่าเจ้าเสวี่ยอี๋มีเจตนาอะไร ยังไงเธอก็เป็นผู้จัดการของร้าน เรื่องที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีปิดบังย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของเธอไปได้
“พูดอะไรแบบนั้นกันล่ะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “ผมอยากจะคลี่คลายเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง”
“คลี่คลายเหรอคะ? ทำยังไงกัน?” เธอถาม
“คือว่า…”
“อู๋ฝาน!” ขณะนี้เองที่เสียงของเจ้าเสวี่ยอี๋ดังมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม
เฉินปิงเหยาขยิบตาส่งให้อู๋ฝาน แต่ยังไม่ได้เดินจากไปไหน กระทั่งอยู่ต่อเพื่อรอดูว่าชายหนุ่มจะคลี่คลายปัญหายังไง เพราะออกปากปฏิเสธตามตรงและทางอ้อมแล้วหลายครั้ง ทั้งไม่ให้ความหวังก็ทำแล้ว แต่เจ้าเสวี่ยอี๋ก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม
เขาหันกลับไปพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา “เธอนี่เอง”
“พอดีช่วงนี้ฉันงานยุ่งไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยได้แวะมาน่ะ” เจ้าเสวี่ยอี๋ตอบกลับ
“เถ้าแก่อู๋ เสวี่ยอี๋ของพวกเราทำงานล่วงเวลาจนอ่อนล้าไปหมด สนใจช่วยทำให้เธอได้ผ่อนคลายหน่อยไหมคะ?”
“ฉันพูดแทนก็แล้วกัน แค่ได้เห็นหน้าเถ้าแก่อู๋ ความอ่อนล้าของเสวี่ยอี๋คงหายไปหมดแบบไม่เหลือร่องรอยแล้ว”
เพื่อนร่วมงานที่มาพร้อมกับเจ้าเสวี่ยอี๋ช่วยกันพูดเสริม เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่ทราบความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างคนทั้งสอง และเจ้าเสวี่ยอี๋ก็มักจะแสดงออกว่าใกล้ชิดกับอู๋ฝานมาโดยตลอด ทำให้เพื่อนร่วมงานของเธอเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นคนรักกันเรียบร้อยแล้ว
“พวกเธอพูดอะไรกันเนี่ย? ถ้ายังเอาแต่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องฉันไม่มาด้วยแล้วนะ” เจ้าเสวี่ยอี๋ไม่คิดหันกลับไปอธิบายให้เป็นเรื่องราว กระทั่งแสดงท่าทีเขินอายออกมา
“จ้า ๆ พวกเราไม่พูดแล้วก็ได้ มีเรื่องกับเถ้าแก่เนี้ยไปไม่ใช่เรื่องดี เดี๋ยวอนาคตพวกเราคงอดได้กินอาหารที่นี่กันพอดี”
“ฉันบอกให้พอ พวกเธอก็ยังพูดอยู่อีก”
เจ้าเสวี่ยอี๋แกล้งทำเป็นต่อว่าเพื่อนร่วมงานพลางหัวเราะและหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนานเหมือนตรงนี้ไม่มีคนอื่น เฉินปิงเหยามองเรื่องราวด้วยความสนใจ ส่วนอู๋ฝานรู้สึกเอือมระอา
“อู๋ฝาน อย่าไปฟังคำพูดของพวกเธอเลยนะคะ ก็แค่ล้อเล่นกันไปเรื่อยน่ะ” เจ้าเสวี่ยอี๋บอกอีกฝ่าย
“อือ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ แต่ในใจกำลังหวังให้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มาเร็วกว่านี้อีกสักนิด
“จะว่าไปแล้ว อู๋ฝาน บริษัทของพวกเรามีงานกินเลี้ยงกันช่วงสุดสัปดาห์พอดี สนใจพาญาติหรือเพื่อนมาร่วมงานไหม? พวกเราจะได้ไปด้วยกันไง?” เจ้าเสวี่ยอี๋ถามด้วยท่าทีคาดหวัง
“ถ้าเถ้าแก่อู๋มาได้ บริษัทของพวกเราจะต้อนรับให้สมเกียรติเลย”
“จริงด้วย จริงด้วย”
“ผม…” ชายหนุ่มกำลังจะปฏิเสธกลุ่มคน แต่ขณะนี้เองที่ปรากฏเสียงเย็นชาดังมาจากทางประตูร้าน
“สุดสัปดาห์นี้เขาไม่มีเวลาหรอกค่ะ เพราะต้องไปช็อปปิงกับฉัน”