ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 630 ตรงไปตรงมา
บทที่ 630 ตรงไปตรงมา
อู๋ฝานและกลุ่มคนหันไปมองทางประตูโดยไม่รู้ตัว ไม่นานสายตาของทุกคนก็แสดงอาการประหลาดใจออกมา ทั้งยังเกิดความคิดเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนสวย!
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
หญิงสาวที่เดิมงดงามอยู่แล้ว ทว่าวันนี้พิเศษขึ้นด้วยการแต่งหน้าเล็กน้อย สวมชุดสีขาว ในสายตาของกลุ่มคน เธอแทบไม่ต่างอะไรกับภาพวาดเซียนในความฝัน
เธอเดินมาข้างกายอู๋ฝานก่อนจะควงแขนอย่างเป็นธรรมชาติ กระทั่งเอนกายซบและอิงด้วยซ้ำ เธอกำลังมองพวกเจ้าเสวี่ยอี๋พร้อมยิ้มอย่างสงบนิ่ง
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ สุดสัปดาห์แฟนฉันมีนัดแล้ว เกรงว่าคงจะไปร่วมงานเลี้ยงบริษัทของพวกคุณไม่ได้” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอก
“พวกเธอ… ฉัน…” เมื่อเจอสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าเสวี่ยอี๋ชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยอะไรไม่ออกชั่วขณะ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้ามันส่งผลกระทบกับตนไม่ใช่น้อย
“ขอผมแนะนำนะครับ เธอคือหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แฟนของผมเองครับ ตอนนี้เธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงโจว” อู๋ฝานละสายตาจากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ก่อนจะมองพวกเจ้าเสวี่ยอี๋พร้อมเอ่ยแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยังคงเผยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ราวกับหากมีเซียนหญิงสักคนบนโลกใบนี้ ก็คงจะต้องเป็นเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“แฟนของนาย?” เจ้าเสวี่ยอี๋มีท่าทีไม่เชื่อ
งานเลี้ยงรุ่นครั้งก่อน ถังอวี่เฟยปรากฏตัวพร้อมอ้างเป็นแฟนของอู๋ฝาน แต่ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ เจ้าเสวี่ยอี๋เลยไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติม และได้ทราบว่าชายหนุ่มยังโสด ดังนั้นเธอเลยกล้าอ้างตัวเป็นแฟนของอีกฝ่ายต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่เคยคาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับแฟนตัวจริงของเขาที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันวันนี้
“ใช่ครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ “พวกเรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มคบกันได้ไม่นานมานี้เอง”
ในงานเลี้ยงรุ่นที่ผ่านมา อู๋ฝานบอกว่าตัวเองโสด ทว่าตอนนี้กลับมีแฟนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขาจึงต้องบอกว่าเรื่องเพิ่งชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้
“เสวี่ยอี๋ นี่มันยังไงกันแน่? เธอไม่ใช่แฟนของเถ้าแก่อู๋เหรอ?”
“ใช่แล้ว ทำไมตอนนี้มีแฟนอีกคนโผล่มาได้ล่ะ? เสวี่ยอี๋ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เพื่อนร่วมงานของเจ้าเสวี่ยอี๋ต่างก็มองอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าเสวี่ยอี๋ด้วยความฉงนจนต้องเอ่ยคำถาม
คำพูดของเพื่อนร่วมงานไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ากลางสี่แยก ใบหน้าของเจ้าเสวี่ยอี๋แดงก่ำจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหลบหนี
ขายหน้า ขายขี้หน้า!
เพราะเธอทราบมาว่าอู๋ฝานยังไม่มีแฟน และรู้ดีว่าสมัยยังเรียนชายหนุ่มมีความรู้สึกดี ๆ ให้ ตนจึงมองว่าหากตามจีบอีกสักหน่อย ด้วยความงามรวมกับเรื่องเก่า ๆ ยังไงความสัมพันธ์นี้ก็ต้องสำเร็จอย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นตอนที่เพื่อนร่วมรุ่นเข้าใจผิดคิดว่าชายหนุ่มเป็นแฟนของเธอ ตนเลยตัดสินใจจะไม่อธิบาย ไม่ยอมรับ หรือว่าไม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นก็ยังแสดงออกอย่างแนบเนียนมาโดยตลอด
แต่เจ้าเสวี่ยอี๋ก็ไม่ได้คาดคิด ว่าสุดท้ายตัวเองจะถูกตบหน้าที่นี่และวันนี้ ทั้งยังเป็นต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ภายหน้าเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ฉันมีเรื่องต้องทำน่ะ ขอตัวก่อนนะ” หญิงสาวไม่อาจทนอยู่ต่อได้ ใบหน้าของเธอแดงก่ำเพราะความอับอาย ก่อนจะเร่งร้อนออกจากร้านไป
“อู๋ฝาน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ไอ้พวกคนน่ารังเกียจ!” เจ้าเสวี่ยอี๋ที่รีบวิ่งออกจากร้านไปกำลังรู้สึกเกลียดชังคนทั้งสองเป็นอย่างมาก
เจ้าเสวี่ยอี๋เป็นคนไม่มีเหตุผล เพราะเพื่อนร่วมงานเข้าใจผิดและเชื่อว่าเธอคือแฟนของอู๋ฝาน หญิงสาวก็เลยคุยโวออกไปเองมากมาย เพราะการเปิดร้านอาหารที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ในเจียงโจวได้ ชายหนุ่มย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของเธอที่ได้รับฟังจึงแสดงอาการอิจฉาออกมาถ้วนหน้า มันทำให้เจ้าเสวี่ยอี๋รู้สึกได้หน้า
แต่แล้ววันนี้ ทุกสิ่งอย่างกลับกลายเป็นฟองอากาศ เธอเหมือนถูกตบหน้ากลางร้าน มันคือความเจ็บช้ำอันยิ่งใหญ่สำหรับเจ้าเสวี่ยอี๋ คนที่รักการมีหน้ามีตาและรักษาหน้าเป็นที่สุด การที่เมื่อครู่ไม่สลบกลางร้านก็ถือได้ว่าเธอแข็งแกร่งพอสมควรแล้ว
แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ไม่มองว่าเรื่องนี้ตนเองมีส่วนผิด กลับกัน เธอเอาความขายหน้าที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังให้กับทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เพราะคนทั้งสองถึงทำให้ตนต้องอับอายขายหน้าและเสียหน้าต่อเพื่อนร่วมงาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เพื่อนร่วมงานของเจ้าเสวี่ยอี๋เริ่มมองหน้ากันราวกับตระหนักอะไรได้ หลังจากนั้นจึงรีบออกจากร้านโลกในแหวนกันไป
“เถ้าแก่คะ” เฉินปิงเหยาเรียกอู๋ฝานก่อนจะยกนิ้วโป้งให้และเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอเข้าใจแล้วว่าวิธีการแก้ปัญหานี้ดีและได้ผลขนาดไหน แม้มันจะดูเรียบง่าย แต่กลับได้ผลอย่างชะงัก เพราะต่อให้เจ้าเสวี่ยอี๋จะงดงามสักแค่ไหน ขอแค่คนที่นำไปเปรียบเทียบด้วยคือหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ อีกฝ่ายก็จะด้อยกว่าทันที ด้วยเหตุนั้นเองที่เจ้าเสวี่ยอี๋ไม่อาจหาข้ออ้างขึ้นมาตอบโต้ได้
“ทำเกินไปรึเปล่านะ?” พอเห็นเจ้าเสวี่ยอี๋หนีเพราะอับอาย หลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความกังวล เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอู๋ฝาน
“ไม่เป็นไรเลย ดีด้วยซ้ำไปครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ
เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แม้เบื้องหน้าเจ้าเสวี่ยอี๋คือเพื่อนร่วมรุ่น แต่สัมพันธ์ระหว่างตนกับเธอก็ค่อนข้างขุ่นข้องมาตั้งแต่แรก เพราะอย่างนั้นตลอดมาในใจของอู๋ฝานจึงทั้งไม่ค่อยชอบและนึกรังเกียจ รวมกับเรื่องที่เจ้าเสวี่ยอี๋พยายามแอบอ้างจนทำให้เขารำคาญ ไม่ว่าด้วยอะไรก็จำเป็นจะต้องจัดการให้สะอาดและหมดจดแบบนี้ แค่นึกย้อนชายหนุ่มก็มองว่าเหมาะสมแล้ว
“ถ้าคุณว่าไม่เป็นไรก็พอแล้วค่ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่ใส่ใจ
“ครับ” เขาพยักหน้าตอบรับ “ในเมื่อวันนี้ช่วยผมขนาดนี้แล้ว ผมขออาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารสักมื้อก็แล้วกันนะครับ”
“ยินดีรับไว้ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยิ้มประหนึ่งดอกบัวขาวเบ่งบานอย่างงดงามตอบรับ
“ไปกันครับ” อู๋ฝานเอ่ย
“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ
คนทั้งสองเดินขึ้นไปชั้นบน สายตาของพวกเขามองตรงไปด้านหน้า ไม่ได้หันมองหน้ากัน แต่หากมีใครมองย่อมเห็นว่าสีหน้าของทั้งสองไม่เป็นธรรมชาติด้วยกันทั้งคู่ ทั้งยังสายตาหลุกหลิกซะด้วยซ้ำ
ราวกับคนทั้งสองลืมเลือนหรือไม่ก็เพราะเหตุผลอื่นที่ไม่อาจทราบ แต่ระหว่างขึ้นบันไดไปชั้นสอง พวกเขากลับยังควงแขนกันอยู่แบบนั้น หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ปล่อย อู๋ฝานเองก็ไม่ได้ออกปากให้เธอปล่อยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ภาพที่คนทั้งสองเดินควงแขนกันเข้าห้องส่วนตัวไปประหนึ่งคู่รัก
ขณะชายหนุ่มร่วมทานอาหารกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เจียงฟั่นโจวก็กำลังทานอาหารกับคนอื่นเช่นกัน คนที่เขากำลังสนทนาด้วยคือหร่วนเจี้ยนเฟิง ผู้อาวุโสนอกของสำนักตะวันเพ็จ
หร่วนเจี้ยนเฟิงอายุหกสิบปี เพราะเป็นผู้ฝึกตนจึงยังมีพลังกำลังดีเยี่ยม ทั้งยังดูไม่ได้แก่เกินอายุห้าสิบปีด้วยซ้ำ ในฐานะผู้อาวุโสนอกแห่งสำนักตะวันเพ็จ หร่วนเจี้ยนเฟิงถือครองความอหังการอยู่พอสมควร บรรดาคนที่มีโอกาสสนทนากับเขาต่างก็รับรู้ได้ แน่นอนว่าด้วยสถานะของชายชรา หากจะมีความภาคภูมิจนอหังการและอวดดีแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แก้วนี้ผมดื่มอวยพรให้ผู้อาวุโสหร่วนครับ” เจียงฟั่นโจวบอกหร่วนเจี้ยนเฟิงขณะยกแก้วไวน์ดื่ม
“อืม” หร่วนเจี้ยนเฟิงพยักหน้ารับอย่างสงวนท่าที ก่อนจะคว้าแก้วไวน์ตรงหน้าขึ้นมาจิบเล็กน้อย ขณะที่เจียงฟั่นโจวดื่มจนหมดแก้ว
“ผู้อาวุโสหร่วนคงได้ยินเรื่องลูกชายของผมมาแล้ว” เจียงฟั่นโจวลดแก้วไวน์ลง เพราะความร้อนใจจึงเอ่ยเข้าประเด็นตรง ๆ
“ใช่” ชายชราพยักหน้าตอบรับ “นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ผู้นำตระกูลเจียงแม้โศกเศร้าก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งตระกูลเจียงในเวลานี้ยังต้องการผู้นำ ดังนั้นการจมดิ่งไปกับความโศกเศร้าจึงไม่ใช่การวางตัวที่ดีของผู้นำหรอกนะ”