ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 638 พันธมิตรสำนัก
บทที่ 638 พันธมิตรสำนัก
“ผู้อาวุโสหร่วน เพิ่งเจอกันไม่กี่วันจำกันไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?” อู๋ฝานเห็นหร่วนเจี้ยนเฟิงเงียบจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ใครบ้างจะไม่รู้จักอู๋เซียนเซิง” หร่วนเจี้ยนเฟิงตอบกลับ “อู๋เซียนเซิงเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเจียงโจว เพราะไม่เพียงก่อตั้งกิจการที่มีชื่อเสียงในโลกเบื้องหน้า แต่ยังทรงอิทธิพลในแวดวงผู้ฝึกตน กระทั่งวังเมฆาสีชาดก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ ใครบ้างจะกล้าไม่รู้จักอู๋เซียนเซิง?”
“เลิกพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว” อู๋ฝานตอบกลับ “ที่ผมต้องการรู้คือเพราะอะไรผู้อาวุโสหร่วนถึงนำกำลังคนมาปิดล้อม ทั้งยังลงมือโจมตี หรือจะเกี่ยวกับวังเมฆาสีชาดก่อนหน้านี้? ตอนนั้นมีข้อพิพาทเกิดขึ้นก็จริง แต่ก็ไม่คล้ายจะเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักตะวันเพ็จ”
เขาพูดขณะสายตาสำรวจคน ๆ ข้างหร่วนเจี้ยนเฟิง
“อู๋ฝาน ฉันขอถามก็แล้วกัน แกได้สังหารเจียงอวี่แห่งตระกูลเจียงไปรึเปล่า?” หร่วนเจี้ยนเฟิงตั้งคำถาม
“เพราะเรื่องนี้นี่เอง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าตอบว่าไม่แล้วจะปล่อยไปรึเปล่าล่ะ?”
“แกคิดว่ามันจะเป็นไปได้งั้นเหรอ?” หร่วนเจี้ยนเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
การที่พวกเขาลงมือในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของตระกูลเจียง แต่ก็ถือว่ามีส่วน และในเมื่อลงมือแล้วพวกเขาก็จะไม่หยุดจนกว่าจะสำเร็จ
“ฉันก็แค่สงสัยว่าแกขึ้นไปชั้นที่สูงจากพื้นขนาดนั้นและเข้าผ่านหน้าต่างไปได้ยังไง? แม้เป็นผู้ฝึกตนก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ” หร่วนเจี้ยนเฟิงตอบกลับ
“ในเมื่อผู้อาวุโสหร่วนพูดถึงขนาดนี้ ก็มั่นใจแล้วไม่ใช่เหรอว่าเจียงอวี่ถูกใครฆ่า?” เขายิ้มตอบ
“แล้วไม่ใช่รึไงล่ะ?” หร่วนเจี้ยนเฟิงถามกลับ “ความเป็นไปได้ทั้งหมดชี้ไปยังอู๋เซียนเซิง ในเมื่อลงมือไปแล้วแต่ไม่กล้ายอมรับงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มเพียงยิ้มโดยไม่ได้ตอบคำใด
“ดูเหมือนอู๋เซียนเซิงคงไม่ยอมบอกความจริงมาตามตรง แต่ก็ช่างเถอะ รอจนพวกเราจับตัวเอาไว้ได้ แล้วค่อยสอบปากคำอีกทีก็แล้วกัน” หร่วนเจี้ยนเฟิงตอบกลับ
“ผู้อาวุโสหร่วน เรื่องที่สำนักตะวันเพ็จลงมือจัดการกับผมก็เข้าใจได้อยู่ เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจียง จะลุกขึ้นออกหน้าแทนตระกูลเจียงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้” อู๋ฝานมองหร่วนเจี้ยนเฟิงและคณะพลางเอ่ย “แต่ก็ยังมีส่วนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสจ้าวจากสำนักทะยานสวรรค์ ผู้อาวุโสหลิวจากสำนักเหมันต์ ผู้อาวุโสหลิ่วจากวังเมฆสวรรค์ ผู้อาวุโสหวังจากสำนักล่องสวรรค์ ทำไมคนทั้งหมดถึงมาพร้อมหน้ากันที่นี่ล่ะครับ? เท่าที่จำได้ไม่ว่าจะตระกูลที่เกี่ยวข้องหรือตัวสำนักเอง ผมก็ไม่ได้ไปมีเรื่องอะไรด้วยนะ”
ทุกครั้งที่อู๋ฝานเอ่ยชื่อ คนข้าง ๆ หร่วนเจี้ยนเฟิงถึงกับสะดุ้งตกใจ จนกระทั่งเอ่ยชื่อสุดท้ายครบถ้วน กลุ่มคนถึงกับมองชายหนุ่มด้วยอาการตื่นตกใจ
“อู๋ฝาน แกรู้ตัวตนของพวกเราได้ยังไง?” หลังอู๋ฝานเปิดเผยตัวตนของพวกเขา กลุ่มคนข้าง ๆ หร่วนเจี้ยนเฟิงพลันต้องถอดหน้ากากออกมา ทว่าพวกเขาก็ยังคงประหลาดใจที่อีกฝ่ายล่วงรู้ตัวตน
พวกเขาไม่เคยพบชายหนุ่มมาก่อน ครั้งนี้มาที่นี่ก็ยังซ่อนตัวตนเอาไว้เป็นอย่างดี จึงไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ตัวตนได้แทบจะในทันที หรือชายหนุ่มมีพลังวิเศษที่ทำให้สามารถทราบสถานะตัวตนของพวกเขาได้ชัดเจน?
หรือจะเป็นไปได้ว่าอู๋ฝานรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขารวมหัวกับสำนักตะวันเพ็จมาปิดล้อมเล่นงาน หากเป็นอย่างนั้นจริง หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไอยู่ในความคาดหมายของอีกฝ่ายอยู่แล้วงั้นเหรอ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหล่าผู้อาวุโสจึงเริ่มมองรอบ ๆ ด้วยอาการระแวดระวัง เพื่อพยายามค้นหาว่าอีกฝ่ายมีกำลังเสริมซุกซ่อนอยู่หรือไม่
“ลองถามผู้อาวุโสหร่วนดูสิ บางทีเขาคงให้คำตอบได้” อู๋ฝานตอบกลับด้วยอาการอันสงบ
“สหายหร่วน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“หร่วนเจี้ยนเฟิง! แกทำอะไรกันแน่? สำนักตะวันเพ็จขายพวกเรางั้นเหรอ!”
“ฉันเคยออกความเห็นแล้วว่าสำนักตะวันเพ็จดูตั้งใจเชื้อเชิญพวกเราร่วมมือจัดการกับอู๋ฝานจนเกินไปไหม? ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง!”
หลังเหล่าผู้อาวุโสได้ยินคำพูดของอู๋ฝาน พวกเขาก็ถึงขั้นถลึงตามองใส่หร่วนเจี้ยนเฟิง
“ทุกท่านอย่าฟังคำพูดไร้สาระของมัน นี่เป็นแผนที่จะทำให้เราแตกคอกัน!” หร่วนเจี้ยนเฟิงรีบอธิบายกับบรรดาผู้อาวุโสจากสำนักชั้นหนึ่งและชั้นสองในเจียงโจว แม้สำนักตะวันเพ็จจะไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ยังไม่มีความสามารถพอจะเผชิญหน้ากับโทสะของสำนักมากมายขนาดนี้พร้อมกันได้
“ทุกท่าน สำนักตะวันเพ็จไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรทั้งสิ้น จุดประสงค์ครั้งนี้ของพวกเราได้แจ้งครบถ้วนแล้วว่าเพื่อสยบอู๋ฝาน และเป็นการแจ้งให้อำนาจเบื้องหลังของมันทราบว่าควรหยุดความเหิมเกริม เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับสำนักตะวันเพ็จ แต่ยังรวมถึงทุกสำนักในเจียงโจว พวกท่านไม่ต้องการให้อู๋ฝานรู้ตัวตน พวกเราก็ไม่ได้บอกตัวตนของพวกท่านแต่อย่างใดด้วยเช่นกัน ส่วนมันทราบได้ยังไงนั้น ผมไม่อาจทราบจริง ๆ” หร่วนเจี้ยนเฟิงพยายามอธิบาย
อู๋ฝานที่ยืนรับฟังคำอธิบายของหร่วนเจี้ยนเฟิงจึงได้ทราบว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสำนักตะวันเพ็จลงมือเพราะเรื่องของตระกูลเจียง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้นซะแล้ว บางทีความตายของเจียงอวี่อาจไม่ได้ส่งผลอะไรให้สำนักตะวันเพ็จต้องลงมือ ทว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสจากเรื่องนี้ เพราะต่อให้เจียงอวี่ไม่ตาย คนของสำนักตะวันเพ็จและสำนักอื่นในเจียงโจวก็คงหาโอกาสเล่นงานตนในอนาคตอยู่ดี
เหตุผลก็เพราะอีกฝ่ายรับรู้ถึงภัยคุกคามของการปรากฏตัวของอู๋ฝานและอำนาจเบื้องหลัง พวกเขาคิดว่ามันจะเป็นศึกแย่งชิงพื้นที่ พอคิดได้ดังนี้ คำพูดก่อนหน้าของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่กล่าวว่าผู้ฝึกตนมีความดิบเถื่อนกว่าคนทั่วไปอยู่มาก ทำให้ตอนนี้เมื่อได้รู้เหตุผลการกระทำของกลุ่มคน จึงไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าอู๋ฝานสามารถอธิบายเรื่องราวได้ แต่ดูจากท่าทีของกลุ่มคนแล้ว ต่อให้พูดจนปากเปื่อยก็เกรงว่าจะไร้ประโยชน์
“อู๋ฝาน ไม่ว่าวันนี้แกจะปากดีแค่ไหนก็มีชะตาจะต้องตาย!” หร่วนเจี้ยนเฟิงใช้กระบี่ชี้เข้าหาชายหนุ่มพร้อมเอ่ย “ขอทุกคนหยุดการพูดคุยเพียงเท่านี้ พวกเรามาลงมือกันเถอะ ส่วนจะจับเป็นหรือจับตายก็แล้วแต่!”
หร่วนเจี้ยนเฟิงไม่กล้าพูดคุยกับอีกฝ่ายต่อนานกว่านี้ เพราะเกรงว่าชายตรงหน้าจะเริ่มยั่วยุให้สำนักตะวันเพ็จและสำนักอื่นแตกคอกัน เดิมพวกเขาก็ไม่ได้มีมิตรไมตรีหรือความสัมพันธ์ใกล้ชิดอยู่แล้ว พวกเขาต่างก็หาทางพัฒนาตัวเองในเจียงโจวผ่านการแข่งขันเพื่อช่วงชิงความแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่ม พวกเขาคงไม่มีทางผนึกกำลังร่วมกันได้ ดังนั้นพันธมิตรที่เปราะบางและชั่วคราวนี้ จึงไม่มีทางต้านรับได้หากถูกยั่วยุจนแตกแยก
ด้วยคำสั่งการของหร่วนเจี้ยนเฟิง แทบทุกคนในที่นี้ต่างบุกเข้าไปสังหารอู๋ฝาน แม้พวกเขาจะมาจากหลายสำนัก และยังไม่เชื่อคำแก้ตัวของหร่วนเจี้ยนเฟิงสักเท่าไหร่ แต่งานสำคัญที่ได้รับมาคือจัดการกับอีกฝ่ายก่อน ส่วนประเด็นอื่นไว้หลังจบเรื่องแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง
“ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!”
ขณะหร่วนเจี้ยนเฟิงและคณะบุกเข้าไป ลูกธนูจำนวนหนึ่งจากด้านหลังของกลุ่มคนพลันพุ่งเข้ามา อู๋ฝานที่ตั้งสมาธิอยู่ตั้งแต่แรกจึงใช้กระบี่ในมือต้านรับลูกธนูเหล่านั้นจนหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกอันดุดันของพวกหร่วนเจี้ยนเฟิง อู๋ฝานก็ไม่กล้าอวดดีหรือประมาท เนื่องจากผู้อาวุโสเหล่านี้รวมหร่วนเจี้ยนเฟิง มีภัยคุกคามไม่ต่างอะไรกับขอบเขตแปรสภาพขั้นต้น ต่อให้อู๋ฝานมีฝีมือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือกลุ่มนี้ก็ยังต้องรู้ถึงความกดดัน
ดังนั้นแล้วหลังจัดการกับลูกธนูที่พุ่งเข้ามา ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นรถโดยไม่ลังเลพร้อมกระตุ้นใช้งานป้ายอัญเชิญ
……….