ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 640 ยังมีคน
บทที่ 640 ยังมีคน
หลังผ่านไปสิบนาที การศึกจึงจบลงอย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันไม่มีใครรอดชีวิต ยกเว้นเพียงอู๋ฝาน นักรบโลกอสูรจำนวนหนึ่ง รวมถึงทหารราชวงศ์อีกเล็กน้อย ส่วนคณะผู้อาวุโสจากหลายสำนักรวมถึงหร่วนเจี้ยนเฟิงต่างตายหมด
“เก็บกวาดที่นี่และลบร่องรอยให้หมด” ชายหนุ่มสั่งการเหล่านักรบโลกอสูรและทหารราชสำนักที่ยังเหลือรอด
ต้องกล่าวว่าความแข็งแกร่งของทีมผสานจากหลากสำนักมีประสบการณ์การต่อสู้ไม่ใช่ธรรมดา จนทำให้ทางฝั่งอู๋ฝานต้องบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ในเมื่อพวกมันคือสิ่งมีชีวิตอัญเชิญ จึงไม่อาจนับเป็นความสูญเสียใดทั้งสิ้น
ขณะพวกที่ยังเหลือเก็บกวาดพื้นที่การต่อสู้ อู๋ฝานก็โทรศัพท์หาใครบางคน
“นายน้อย” สวีอี้ซานตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและให้ความเคารพ
“เตรียมบุกโจมตีสำนักตะวันเพ็จในวันพรุ่งนี้เช้านะครับ” เขาเอ่ยคำสั่งอย่างเฉยชา
“ครับ!” สวีอี้ซานตอบรับโดยไม่มีลังเล
แม้คำสั่งของอู๋ฝานค่อนข้างกะทันหัน อีกทั้งยังจะให้บุกไปโจมตีสำนักที่มีกำลังและอำนาจทัดเทียมวังเมฆาสีชาด ทว่าสวีอี้ซานก็ยังคงตอบรับโดยไม่มีความลังเล เขาทราบดีว่าที่ตัวเองมีวันนี้ได้เพราะอะไร และทราบดีว่าอีกฝ่ายมีความสามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากตำแหน่งได้ทุกเมื่อ ในเมื่อต้องการจะรักษาตำแหน่งเอาไว้ เขาก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของอู๋ฝาน
นับตั้งแต่ได้เป็นเจ้าวังเมฆาสีชาด สวีอี้ซานก็ไม่เคยมีความคิดทรยศหักหลังอู๋ฝานแม้แต่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มวางสายด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะมองซากศพที่กระจัดกระจายตามพื้นด้วยสายตาคมกล้า!
สำนักตะวันเพ็จรวมถึงสำนักทั้งหลายที่ดักซุ่มโจมตีเขาวันนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้ ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจและลงมือแล้ว พวกมันจะไม่มีทางหยุดเพียงแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกทั้งพวกมันจะยังกังวลถึงการล้างแค้นของอู๋ฝานด้วยเช่นกัน ดังนั้นแทนที่จะเป็นฝ่ายรอคอยและตั้งรับ การบุกไปสะสางให้เรียบร้อยจึงถือว่าเหมาะสม
ทางด้านวังเมฆาสีชาด หลังสวีอี้ซานได้มีช่วงเวลาจัดการเรื่องภายใน สีหน้าของเขาในปัจจุบันจึงค่อนข้างสดชื่นและแจ่มใส ต้องกล่าวว่าอู๋ฝานประเมินสวีอี้ซานต่ำเกินไปบ้าง อีกฝ่ายเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกและซ่อนคมเอาไว้มาโดยตลอด หลังขึ้นเป็นเจ้าวังคนใหม่ได้สำเร็จ เขาก็เริ่มเผยเขี้ยวเล็บออกมาจนสามารถควบคุมทั้งวังเมฆาสีชาดเอาไว้ได้
อู๋ฝานกำลังจะบุกโจมตีหลายสำนัก เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องมีวังเมฆาสีชาดให้ความช่วยเหลือ แม้จะมีป้ายอัญเชิญให้ใช้งาน แต่มันก็มีระยะเวลาใช้งานค่อนข้างจำกัด หากสำนักตะวันเพ็จและสำนักอื่นมุ่งเน้นไปที่การตั้งป้องกันขึ้นมา เขาอาจจะเผด็จศึกได้ไม่ทันช่วงระยะเวลายี่สิบนาที แต่หากวังเมฆาสีชาดเข้ามาช่วยเหลือ ถึงเวลาค่อยใช้ป้ายอัญเชิญในจังหวะอันเหมาะสม เมื่อนั้นเรื่องราวจะราบรื่นอย่างไร้ปัญหา
“ปัง!”
ขณะอู๋ฝานกำลังครุ่นคิดถึงการตอบโต้ครั้งถัดไป ทันใดนั้นเองที่กระสุนปืนพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มที่ไม่ทันเตรียมตัวยังโชคดีที่ไม่โดนยิงในจุดสำคัญ ทว่ามันยิงเข้าที่ท้อง ชั่วขณะความเจ็บปวดรุนแรงก็แทรกขึ้นมาพร้อมกับเลือดที่ไหลหลั่ง
ขาดความระมัดระวัง!
เพราะไม่มีเวลาให้คิดมากความ เขาจึงอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่บริเวณหน้าท้องพร้อมถอยเท้ากลับ
“ปัง ปัง ปัง!”
จากบริเวณที่อู๋ฝานเพิ่งกระโดดหลบเลี่ยงออกมา ปรากฏกระสุนปืนหลายนัดยิงเข้าใส่จนฝุ่นที่พื้นฟุ้งขึ้น
อู๋ฝานไม่กล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขารีบถอยจนกระทั่งไปหลบอยู่ด้านหลังรถ ขณะนี้เองที่การยิงปืนสงบลง
“หน้าโง่ไม่รู้จักระวัง!” เขาสบถใส่ตัวเองขณะมองหน้าท้องที่ยังคงมีเลือดไหล
การโจมตีจากอีกฟากเริ่มดำเนินขึ้นต่อ กระสุนนัดแล้วนัดเล่าถูกยิงออกมา ทว่าทั้งหมดนั้นปะทะเข้ากับตัวรถ นอกจากถากไปจนประกายไฟออกมา พวกมันก็ไม่อาจสร้างความเสียหายอื่นใดได้อีก
“เจอตัวแล้ว!” อู๋ฝานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังทิศทางที่กระสุนปืนพุ่งออกมา ขณะหนึ่งจึงได้เห็นเงาร่างกำยำสองคน
นักรบโลกอสูรและทหารราชสำนักที่ยังเหลือรอด หลังเก็บกวาดพื้นที่จึงหายตัวไปเพราะหมดเวลา ดังนั้นปัจจุบันเขาจึงต้องพึ่งพาตนเอง บางทีอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเห็นว่าอู๋ฝานเหลือเพียงคนเดียว ทั้งยังดูผ่อนคลายความระวังแล้วจึงเลือกลงมือ
ชายหนุ่มอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่ท้องอีกครั้ง เพื่อนำเอาธนูและลูกธนูออกมาจากกระเป๋าหลังก่อนจะโน้มสาย
“อ๊าก!”
เพียงอึดใจที่ลูกธนูพุ่งออกไป เสียงแผดร้องจากระยะไกลจึงดังขึ้น กระสุนปืนยังคงถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่แม่นยำเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว
“ฟิ่ว!”
อู๋ฝานโน้มสายคันธนู พร้อมยิงลูกธนูออกไป ไม่นานเสียงแผดร้องชวนน่าสังเวชก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กระสุนปืนซึ่งถูกยิงออกมานั้นเงียบลงไปแล้ว
เขาใช้มือกุมหน้าท้องข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินโซเซไปยังที่ซ่อนของมือปืนทั้งสอง
“ที่แท้ก็เป็นแก เจียงฟั่นโจว!” อู๋ฝานมองคนทั้งสองตรงหน้าอย่างประหลาดใจไปบ้าง เพราะหนึ่งในนั้นคือเจียงฟั่นโจวที่เป็นผู้นำตระกูลเจียง ส่วนอีกคนนั้น เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์น่าจะเป็นคนขับรถหรือบอดี้การ์ดที่ทำงานให้อีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายตายแล้วเพราะถูกลูกธนูปักเข้าที่หัวใจ
สภาพของเจียงฟั่นโจวเองก็ไม่ได้ดีเช่นกัน เนื่องจากถูกลูกธนูยิงใส่ แม้ไม่ใช่จุดตาย ทว่าใกล้บริเวณกลางหน้าอก เลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลในเวลานี้ทะลักออกมาเร็วยิ่งกว่าแผลของอู๋ฝาน
“ใช่ ฉันเอง!” เจียงฟั่นโจวที่นอนกับพื้นพยายามกดปากแผลเอาไว้ พร้อมมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่แม้อ่อนแรง แต่ก็เปี่ยมด้วยความเกลียดชัง
“ใช่!” เจียงฟั่นโจวตอบกลับด้วยความเคียดแค้น “น่าเสียดายที่พวกมันเป็นแค่เศษสวะ มากันขนาดนั้นก็ยังฆ่าแกไม่ได้!”
“อยากจะฆ่าฉัน?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“แกเป็นคนฆ่าลูกชายฉัน ยิ่งเห็นแกอยู่ตรงหน้าฉันก็ยิ่งอยากจะฉีกร่างแกออกเป็นชิ้น ๆ!” เจียงฟั่นโจวตอบกลับ
“อะไรถึงมั่นใจว่าฉันไปฆ่าลูกชายของแกกันล่ะ?”
“เพราะนอกจากแกก็ไม่มีใครแล้ว!” เจียงฟั่นโจวตอบกลับ
“ก็ได้ ฉันฆ่าเจียงอวี่เองนั่นแหละ” ชายหนุ่มเอ่ย
“เป็นแกจริง ๆ สินะ?!” เจียงฟั่นโจวดวงตาเบิกกว้าง พร้อมจ้องอู๋ฝานด้วยลมหายใจที่หนักหน่วง
แม้ก่อนหน้านี้จะค่อนข้างมั่นใจ ทว่าไม่มีหลักฐาน อู๋ฝานเป็นผู้ต้องสงสัยสูงสุด เพราะไม่มีใครอื่นที่ลงมือได้อีกแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับด้วยตัวเอง เจียงฟั่นโจวจึงใจเต้นรัวเพราะความแค้นจนคลุ้มคลั่ง
“ใช่แล้ว” เขาพยักหน้าตอบ
“ไปตายซะ!” เจียงฟั่นโจวพลันคว้าปืนพกจากข้างกายขึ้นมาหมายจะยิงใส่อู๋ฝาน
แต่ชายหนุ่มกลับเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าก้าวหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายยกปืนพกขึ้นมา อู๋ฝานก็เรียกกระบี่เล่มยาวออกจากกระเป๋าหลัง พร้อมแทงใส่ร่างคนตรงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
“ปัง!”
ปืนถูกยิงออกไปจริง แต่ไม่โดนอู๋ฝาน และหลังยิงออกไปแล้วแขนของเจียงฟั่นโจวก็เริ่มอ่อนแรงลง ดวงตาเบิกกว้าง เป็นท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่ยอมตายตาหลับ
อู๋ฝานมองเจียงฟั่นโจวที่ไร้ชีวิต จากนั้นจึงสัมผัสหัวใจของตนเอง หลังยอมรับว่าตนเองสังหารเจียงอวี่ เขาก็ไม่มีเจตนาคิดปล่อยเจียงฟั่นโจวไปอยู่แล้ว ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะฝั่งเขาหรือเจียงฟั่นโจวก็ไม่ได้มีข้อพิพาทอะไรต่อกัน แต่ความตายของเจียงอวี่ทำให้ความสัมพันธ์ที่เป็นเส้นขนานต้องมาบรรจบจนถึงจุดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย
อู๋ฝานไม่ได้นึกเสียใจที่ฆ่าเจียงฟั่นโจว แต่คร่ำครวญถึงความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ ไม่กี่วันก่อนคนทั้งสองยังดื่มพลางพูดคุยในงานเลี้ยง ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปซะแล้ว
……….