ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 646 เยือนอาณาจักรหนานปิง
……….
บทที่ 646 เยือนอาณาจักรหนานปิง
“คุณชายอู๋อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปขอรับ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย” ลั่วเป่าซงยังคงยิ้มขณะเอ่ยตอบกลับมา
“งั้นหรือ?” อู๋ฝานตอบรับ ทว่ามือขวายังคงลอบขยับเข้าไปใกล้ด้ามกระบี่
“หากข้ามีเจตนาร้ายคงไม่เอ่ยปากบอกออกมาเช่นเมื่อครู่ แต่เป็นจับมัดตัวและส่งไปยังเมืองเฟิงฮวาแล้ว” ลั่วเป่าซงตอบกลับ “อย่างไรองค์หญิงสามแห่งหนานปิงในเวลานี้ก็มีค่าหัวอย่างงาม”
“เจ้ารู้แล้วจริงด้วย!” อู๋ฝานเลิกคิ้วขึ้นพร้อมเผยจิตสังหารแผ่พุ่งออกมา
“ใช่” ลั่วเป่าซงไม่คิดปฏิเสธ
“รู้ได้ยังไงกัน” เขาเอ่ยถาม
“เพราะจี้หยกขององค์หญิงสาม” ลั่วเป่าซงยิ้มตอบรับ “ข้าทำการค้ามานานหลายปี เคยไปอาณาจักรหนานปิงมาบ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งก็ได้รับเกียรติให้พบจี้หยกนั่น เท่าที่ข้าทราบ จี้หยกดังกล่าวมีแค่คนของราชวงศ์แห่งหนานปิงจึงจะมีในครอบครอง ในเมื่อคนของราชวงศ์หนานปิงถูกอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยสังหารจนเกือบหมด จึงเหลือเพียงแค่องค์หญิงสามอูหย่าและองค์ชายสี่อูเฉียน คุณหนูท่านนั้นเป็นใคร ไม่ต้องคิดก็ทราบได้”
“เหตุผลก็ยังเป็นเพราะมีสายตาเฉียบคมอยู่ดี” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างเฉยชา “เช่นนั้นขอถามว่าเจ้าคิดทำอะไรกันแน่? ในเมื่อทราบตัวตนของนางก็ควรทราบถึงค่าหัว เหตุใดไม่ส่งพวกเราให้ทางการ?”
“ข้าไม่ชอบทางการ” ลั่วเป่าซงตอบกลับ
“แล้วต้องการสิ่งใด?” อู๋ฝานยังคงถามอย่างไม่อ้อมค้อม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดส่งพวกเขาให้กับทางการ แต่เลือกที่จะบอกออกมาว่าทราบตัวตนของอูหย่า ก็เห็นได้ชัดว่าต้องมีความคิดอื่น
“ข้าชื่นชอบการร่วมงานกับผู้คน” ลั่วเป่าซงตอบกลับ
“ร่วมงาน?”
“ถูกต้อง องค์หญิงอูหย่าคือชนชั้นสูง นอกจากมีอิทธิพลภายในอาณาจักรหนานปิงแล้ว ก็ยังเป็นหนึ่งในสองราชวงศ์แห่งหนานปิงที่ยังมีชีวิตรอด หากนางได้กลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างปลอดภัย และรับรองความสะดวกให้แก่ข้าสักส่วนหนึ่ง กิจการของข้าในหนานปิงก็คงรุ่งเรืองได้ด้วยดี” ลั่วเป่าซงตอบกลับ
“เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าอูหย่ามีอิทธิพลในหนานปิงงั้นหรือ?” อู๋ฝานยังไม่ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย และยังคงตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง
“ถูกต้อง อูหย่ามีสถานะที่แตกต่างจากองค์หญิงและองค์ชายทั้งหลาย ตลอดมานางมักจะอยู่นอกวัง ทั้งยังมีสัมพันธ์อันดีกับผู้คนและขุนนางทั้งหลาย ทำให้นางมีสถานะตัวตนที่ดีในสายตาของคนเหล่านั้น และความสามารถของนางเองก็ยอดเยี่ยม หากไม่ใช่เพราะความจริงที่นางเป็นสตรี ก่อนหน้านี้คงได้รับความโปรดปรานจนได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งหนานปิงไปแล้ว” ลั่วเป่าซงตอบกลับ
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบลั่วเป่าซง “ข้าไม่อาจตอบรับสิ่งที่ท่านร้องขอได้ เรื่องนี้ต้องพูดคุยกับนางก่อน และท่านควรเจรจากับนางด้วยตนเอง”
ดังนั้นเขาจึงเรียกอูหย่ามาบอกเรื่องของลั่วเป่าซง หลังนางครุ่นคิดจึงตอบรับ
“ในอนาคตข้าจะมอบความสะดวกเท่าที่ความสามารถของข้าจะเอื้ออำนวย” อูหย่าตอบรับคำขอของลั่วเป่าซง
“ขอบคุณองค์หญิงสามพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเป่าซงรับคำด้วยความยินดี
การเจรจาความร่วมมือกับอูหย่าและอู๋ฝานถือเป็นการเดิมพัน สำหรับลั่วเป่าซงแล้ว เขาทราบดีว่าหากส่งตัวอีกฝ่ายให้ราชสำนักแห่งเหยียนเฟิงจะได้รางวัลอย่างงาม ในขณะที่ไม่ทราบว่าจะสามารถร่วมมือกับหญิงสาวได้หรือไม่
ค่าหัวแม้จะมากมาย แต่ก็เป็นทรัพย์สินที่ได้รับแล้วจบสิ้น ขณะที่การคงไว้ซึ่งความร่วมมือและสัมพันธ์อันดีกับอูหย่าคือสิ่งที่ได้ในระยะยาว เขาจะสามารถอาศัยสถานะตัวตนของอีกฝ่ายดำเนินกิจการให้ใหญ่โตและหยั่งรากอย่างแข็งแกร่งในอาณาจักรหนานปิงได้ และเมื่อนั้นเงินทองที่ไหลมาเทมาย่อมมากมายกว่าค่าหัว เพราะมีราชวงศ์คอยหนุนหลัง มันดีกว่าทำการค้าด้วยตัวเองเพียงลำพังอยู่มาก
แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ยังคงมีความเสี่ยง อย่างไรอาณาจักรเหยียนเฟิงในเวลานี้ก็กำลังตามล่าตัวอูหย่าอยู่ หากเรื่องหลุดออกไปว่าเขาทราบแล้วแต่ไม่รายงานให้ทางการ ตนก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอาชญากร จนสุดท้ายจะต้องพบเจอจุดจบอันโหดร้าย
แต่ลั่วเป่าซงไม่ใช่คนขลาดเขลา คนขลาดเขลาย่อมไม่ทำอะไรอย่างลักลอบขนสินค้าได้ เขาคือคนที่ฝึกฝนตนเองเรื่อยมาเพื่อครอบครองอำนาจและความมั่งคั่ง ดังนั้นหลังทราบตัวตนของอูหย่า เขาจึงไม่คิดลังเลที่จะตัดสินใจแม้แต่น้อย
จากนั้นกลุ่มคนจึงร่วมเดินทางกันด้วยดี จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม กองคาราวานจึงมาถึงหน้าเมืองแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ “ในเมื่อมาถึงแล้วพวกเราก็ต้องเข้าไปด้านใน”
ลั่วเป่าซงพยักหน้าตอบขณะกองคาราวานเดินทางไปต่อ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเยือนอาณาจักรหนานปิง แต่ครั้งนี้มีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เพราะมีองค์หญิงสามแห่งหนานปิงร่วมทางมาด้วย
“หยุด!”
เมื่อกองคาราวานมาถึงทางเข้าเมือง การจะถูกทหารของเมืองซิงผิงเรียกหยุดเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“นายท่านทั้งหลายใจเย็นกันก่อน ข้าก็เพียงมาทำการค้าอันเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” ลั่วเป่าซงตอบกลับเสียงเบา ขณะส่งเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้นายทหารตรงหน้าประตู
“ไม่นานมานี้มีคนจากอาณาจักรเหยียนเฟิงลักลอบเข้ามาไม่ใช่น้อย ข้าไม่อาจมองข้ามกฎบ้านเมืองได้” นายทหารผู้นั้นเผยท่าทีเที่ยงธรรม ขณะที่เก็บเหรียญเงินของลั่วเป่าซงไป
“เข้าใจขอรับ เข้าใจแล้วขอรับ” ลั่วเป่าซงสบถอยู่ในใจขณะรับหน้ากลุ่มทหารที่หน้าประตูเมือง
กลุ่มทหารเริ่มตรวจค้นกองคาราวาน อู๋ฝานยังคงเผยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่อูหย่าคล้ายไม่อาจทนต่อได้ไหว
อย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงสามแห่งหนานปิง
เนื่องจากที่นี่คืออาณาจักรหนานปิง หากเป็นอาณาจักรเหยียนเฟิง ต่อให้ต้องทนถูกตรวจค้นมากกว่านี้อูหย่าก็ไม่อาจพูดกล่าวอะไรได้ แต่ในเมื่อที่นี่คืออาณาจักรหนานปิง และนางคือองค์หญิงแห่งหนานปิง จึงทำให้หญิงสาวหมดความอดทนกับการถูกตรวจค้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้าคือองค์หญิงอูหย่า?” นายทหารคุ้มกันเมืองเผยท่าทีที่บ่งบอกชัดว่าไม่เชื่อออกมา
“ใช่” อูหย่าส่งป้ายประจำตัวออกไป
นายทหารผู้นั้นที่รับผิดชอบการตรวจคนเข้าออก เมื่อพบเห็นป้ายประจำตัวของอูหย่าจึงต้องเปลี่ยนแปลงสีหน้าและคำพูด “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอูหย่า กระหม่อมคาดหวังว่าองค์หญิงจะให้อภัย!”
ทันทีที่อีกฝ่ายตอบรับ เขาก็หันไปสั่งการคนของตนเองให้เปิดทาง
“ไปได้แล้ว” อูหย่าบอกกับลั่วเป่าซง
“ไป” ลั่วเป่าซงหันไปบอกกองคาราวานของตนเอง
ด้วยเหตุนี้กองคาราวานจึงเดินทางต่อ
“เป็นไง ตัวตนของข้ายังพอใช้งานได้จริงใช่หรือไม่?” อูหย่าเอ่ยถามกับอู๋ฝาน
“อันที่จริงไม่ควรทำ” เขาตอบกลับ
“เจ้าหมายความว่าอะไร? ข้าคือองค์หญิงแห่งหนานปิง ข้ากลับมาบ้านก็ควรได้รับการต้อนรับไม่ใช่หรือ? แค่ข้าเผยป้ายประจำตัวออกไป พวกมันก็ปล่อยผ่านด่านตรวจมาแล้ว มีอะไรไม่ดีตรงไหนกัน?” อูหย่าเอ่ยถาม
“ปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ชายหนุ่มตอบกลับ “สรุปคือการเดินทางกลับบ้านของเจ้านับจากนี้จะไม่ราบรื่นแล้ว”
“เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่?” หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้ง
……….