ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 647 จดหมายลับ
บทที่ 647 จดหมายลับ
“ไม่มีอะไร หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง” อู๋ฝานตอบกลับ
“ทำเป็นลึกลับไปได้” อูหย่าบ่นพึมพำออกมา แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามอื่นใดเพิ่มอีก
เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตรวจค้นกองคาราวานของอู๋ฝานเมื่อครู่ ตอนนี้ยืนนิ่งมองรถลากเคลื่อนห่างออกไป
“พวกเจ้าทำงานกันต่อ ข้ามีธุระต้องไปทำ และคงต้องใช้เวลาสักพัก” หลังเห็นขบวนรถม้าของชายหนุ่มจากไปไกลแล้ว เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชา
หลังจากนั้นเขาจึงเดินมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง
“ใครกัน?! หยุด!” เมื่อเข้าไปใกล้หน้าประตูจวนเจ้าเมือง เขาก็ถูกทหารคุ้มกันหน้าประตูหยุดเอาไว้
“ข้าน้อยเฝิงอวิ๋นขอรับ มาพบท่านเจ้าเมืองขอรับ” ผู้บังคับบัญชาหนุ่มตอบกลับ
“ทุกวันท่านเจ้าเมืองมีกิจธุระมากมายต้องสะสาง ท่านใช่คนที่เจ้าอยากจะมาพบเมื่อใดก็ได้งั้นหรือ? ไปซะ รีบไปให้พ้น ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไร้มารยาท!” คนคุ้มกันตอบกลับมา
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานให้ท่านเจ้าเมืองทราบขอรับ” เฝิงอวิ๋นตอบกลับพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบกับทหารทั้งสอง “เป็นเรื่องขององค์หญิงสาม”
อีกฝ่ายที่ตอนแรกกำลังจะปฏิเสธอีกครั้งกลับต้องเปลี่ยนสีหน้าและท่าที “องค์หญิงสามอูหย่างั้นหรือ?”
“ขอรับ!”
“รอคอยที่ตรงนี้สักเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานให้ท่านเจ้าเมืองทราบ” อีกฝ่ายตอบกลับมา
หากเป็นเรื่องจิปาถะ เขาคงไม่กล้าไปรบกวนเจ้าเมืองเพราะพลทหารที่ต่ำต้อย แต่เรื่องขององค์หญิงสามไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะตนทราบดีว่าไม่นานมานี้ท่านเจ้าเมืองมีความคิดอะไรอยู่
“ขอบคุณนายท่านขอรับ” เฝิงอวิ๋นประสานมือตอบรับ
เมื่อเห็นทหารเฝ้าประตูจวนรีบวิ่งเข้าไปด้านในจวนผู้ว่าการ เฝิงอวิ๋นจึงยืนตัวตรงรอคอย สีหน้าที่เคยถ่อมตนเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นหยิ่งผยอง
‘เหอะ! เป็นแค่สุนัขเฝ้าประตู กล้าดียังไงถึงมาทำท่าทีเช่นนี้กับข้า! รอข้ามีโอกาสเติบโตจนยิ่งใหญ่ก่อนเถอะ ข้าอยากเห็นนักว่ามันจะยังกล้าอีกหรือไม่!’ เฝิงอวิ๋นสบถพึมพำอยู่ในใจ
เพียงแต่เขาคล้ายลืมเลือนไปว่าตนเองก็ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองทุกวันเช่นกัน คำที่กล่าวว่าเป็นหมาเฝ้าประตู มันแทบจะย้อนกลับเข้าหาตนเองทั้งสิ้น
ไม่นานทหารเฝ้าประตูจวนคนนั้นก็กลับมา เฝิงอวิ๋นเผยท่าทีนอบน้อมถ่อมตัวลงอีกครั้งหนึ่ง
“มากับข้า ท่านเจ้าเมืองต้องการพบ” องครักษ์คนนั้นบอกกับเฝิงอวิ๋น
“ขอรับ”
“เมื่อพบท่านเจ้าเมืองจงสำรวมคำพูดให้ดี คงรู้ใช่หรือไม่ว่าอะไรควรและอะไรที่ไม่ควรพูด?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“ทราบขอรับ” เฝิงอวิ๋นพยักหน้าตอบ
จวนเจ้าเมืองมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ภายในมีเรือนและลานบ้านจำนวนไม่น้อย สภาพแวดล้อมในพื้นที่ดีเยี่ยม เฝิงอวิ๋นที่เดินเข้ามาลอบชมด้วยความริษยาอยู่ในใจ
‘หากสักวันได้อาศัยอยู่ในจวนใหญ่โตแบบนี้ ชีวิตข้าก็คงไม่สูญเปล่าแล้ว’ เฝิงอวิ๋นรำพึงรำพัน
หลังเดินไปมาอยู่พักหนึ่ง เฝิงอวิ๋นจึงได้พบเจ้าเมืองนาม จ้าวชิวซาน ผู้อยู่ในโถงหลัก
“ใต้เท้า ข้าน้อยนำคนมาแล้วขอรับ” ทหารเฝ้าประตูเอ่ยอย่างนอบน้อม เขาไม่ได้อวดดีเหมือนเช่นตอนที่พูดกับเฝิงอวิ๋น
“ดี เจ้ากลับไปได้แล้ว จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ห้ามผู้ใดมารบกวนข้า” จ้าวชิวซานตอบกลับ
“คำนับท่านเจ้าเมืองขอรับ” หลังองครักษ์ออกไปแล้ว เฝิงอวิ๋นจึงก้าวขึ้นมาพร้อมคุกเข่าให้อีกฝ่าย
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เฝิงอวิ๋นได้พบจ้าวชิวซาน ทว่าก่อนหน้านี้ที่เขาได้พบ มันเป็นการเห็นจากระยะไกล และไม่ได้มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิดเหมือนเช่นตอนนี้
“ลุกขึ้น” จ้าวชิวซานตอบรับ “บอกเรื่องที่เจ้าทราบออกมา อย่าให้รายละเอียดใดตกหล่น และอย่าเสริมเติมแต่ง”
“ขอรับใต้เท้า”
จากนั้นเฝิงอวิ๋นจึงเล่าทุกรายละเอียดที่ได้พบหน้าประตูเมือง รวมถึงเรื่องของพวกอู๋ฝาน ลั่วเป่าซง และกองคาราวาน ทั้งหมดเถรตรง ทั้งยังไม่มีอะไรขาดตกหรือเกินเลย
“เจ้ากำลังบอกว่าองค์หญิงสามเข้าเมืองมาแล้วงั้นหรือ?” จ้าวชิวซานเอ่ยเสียงดังขึ้นมา
“ขอรับ เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน” เฝิงอวิ๋นตอบกลับ
“ยืนยันสถานะตัวตนคนรอบข้างของนางได้หรือไม่?” จ้าวชิวซานเอ่ยถาม
“ข้ารู้จักกองคาราวานนั้นอยู่ขอรับ พวกเขาจะแวะเวียนมาที่เมืองซิงผิงอยู่บ่อยครั้ง เจ้าของคาราวานมีชื่อว่าลั่วเป่าซง เป็นชายที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าขอรับ“ เฝิงอวิ๋นบอกเล่าออกมา ”ส่วนคนอื่นนั้น ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อนขอรับ“
“อืม” จ้าวชิวซานพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว ไปหาข้อมูลมาว่าองค์หญิงสามพักอาศัยอยู่ที่ใด จำเอาไว้ว่าต้องไม่มีใครอื่นรู้เรื่องนี้อีก เข้าใจใช่หรือไม่?”
“ข้าน้อยทราบขอรับ” เฝิงอวิ๋นพยักหน้าตอบ
หลังเฝิงอวิ๋นออกไปแล้ว จ้าวชิวซานจึงลุกขึ้นพร้อมเดินตรงไปยังห้องหนังสือเพื่อเขียนจดหมายลับ
“เข้ามานี่หน่อย! เตรียมพิราบสื่อสารมาด้วย”
ไม่นานข้ารับใช้จึงเข้ามาพร้อมนกพิราบ จ้าวชิวซานผูกจดหมายเอาไว้กับขาของนกพิราบ จากนั้นจึงปล่อยมันบินออกนอกหน้าต่างไป
เมื่อมองพิราบสื่อสารที่บินออกไปไกล สีหน้าของจ้าวชิวซานก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
เดิมเจ้าเมืองซิงผิงไม่ใช่จ้าวชิวซาน เขาคือเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่หลังองค์ชายสี่อูเฉียนขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งยังเป็นผู้ติดตามเดนตายของอูเฉียน เมื่อครั้งอูเฉียนยังเป็นองค์ชาย เขาก็ติดตามอีกฝ่ายเรื่อยมา ตอนนี้อูเฉียนจึงไว้ใจเขาเป็นอย่างมาก
ตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเหยียนเฟิงและอาณาจักรหนานปิงยังดีอยู่ เมืองซิงผิงมีทหารมาประจำการเพียงน้อยนิด กระทั่งว่าแทบไม่จำเป็นเลย แต่พออูเฉียนขึ้นครองบัลลังก์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรก็เริ่มเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว เมืองซิงผิงที่เป็นเมืองหน้าด่านชายแดนติดกับอาณาจักรเหยียนเฟิงจึงมีความสำคัญขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง ระดับภัยอันตรายถูกยกให้สูงขึ้นอย่างมหาศาล เรียกได้ว่าเจ้าเมืองซิงผิงมีความสำคัญกับอูเฉียน จนต้องส่งจ้าวชิวซานมาดูแล
ครั้งที่องค์หญิงสามอูหย่าทำภารกิจลอบสังหารจักรพรรดิชราแห่งเหยียนเฟิงล้มเหลว นางยังไม่ได้ถูกจับกุมตัวหรือประหาร ส่วนอยู่ที่ไหนนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดทราบ หลายคนในอาณาจักรหนานปิงต่างก็ให้ความสนใจกับหญิงสาว ทว่าแต่ละฝ่ายต่างก็ให้ความสนใจด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกันออกไป อย่างน้อยจ้าวชิวซานที่ได้รับความไว้วางใจจากอูเฉียน ก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินดีต้อนรับน้องสาวกลับบ้าน อูเฉียนขอให้เขารายงานในทันทีที่พบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด ตอนออกจากเมืองหลวงเดินทางมาที่นี่ เขาก็ได้รับนกพิราบสื่อสารมาด้วย จุดประสงค์ที่จะใช้งานพิราบสื่อสารมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือรายงานที่อยู่ของอูหย่า
และตอนนี้ก็ถึงเวลาใช้งานนกพิราบสื่อสารตัวดังกล่าวแล้ว
“วันนี้พวกเราพักที่นี่ก็แล้วกัน” ภายในเมืองซิงผิง พวกอู๋ฝานหาโรงเตี๊ยมสำหรับใช้พักอาศัยกันชั่วคราว
ลั่วเป่าซงแยกตัวจากพวกเขาตั้งแต่เข้าเมือง อีกฝ่ายมาเพราะทำการค้า เมืองซิงผิงย่อมไม่ใช่จุดหมายปลายทางของกองคาราวาน อีกฝ่ายไม่ได้มาขายสินค้าที่นี่ แต่มาเพื่อซื้อสินค้าให้มากขึ้น ดังนั้นหากเทียบกับพวกอู๋ฝานแล้ว ด้านลั่วเป่าซงค่อนข้างมีกิจธุระต้องจัดการไม่ใช่น้อย
“อืม” อูหย่าพยักหน้ารับ นางไม่คิดคัดค้านการตัดสินใจของอู๋ฝาน
“พี่อูหย่า เมื่อครู่ท่านเพิ่งเปิดเผยตัวตนที่หน้าประตูเมือง เจ้าเมืองซิงผิงจะมาพบหรือเชิญท่านไปอาศัยที่จวนเจ้าเมืองหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
……….