ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 649 ภารกิจบทที่หนึ่งเสร็จสมบูรณ์
บทที่ 649 ภารกิจบทที่หนึ่งเสร็จสมบูรณ์
[ภารกิจล้างแค้นบทที่หนึ่ง : ส่งอูหย่ากลับไปยังอาณาจักรบ้านเกิดเสร็จสิ้น! ได้รับรางวัลค่าสถานะพละกำลัง+3 ความว่องไว+3 และความอดทน+3 และได้รับตำราวิชาระดับลึกล้ำ]
[เริ่มต้นภารกิจล้างแค้นบทที่สอง : ช่วยเหลืออูหย่าขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ!]
“นี่มัน!?…” ขณะอู๋ฝานได้ยินเสียงจักรกลที่คุ้นเคยถึงกับชะงัก เขาไม่ได้สนใจในส่วนของรางวัล แต่สนใจเนื้อหาของบทที่สอง เนื้อหาของภารกิจค่อนข้างชวนให้ตื่นตกใจไม่น้อย
ช่วยเหลืออูหย่าครองบัลลังก์และขึ้นเป็นจักรพรรดิ?!
มันไม่ใช่ภารกิจที่จะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย หากอูหย่าเป็นผู้ชาย สถานการณ์ก็คงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ แต่อูหย่าเป็นผู้หญิง เท่าที่อู๋ฝานทราบ ประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ในเกมแห่งนี้ มันไม่เคยมีผู้หญิงคนใดขึ้นเป็นจักรพรรดิ ไม่มีแม้แต่คนเดียว!
ด้วยประวัติศาสตร์ดังกล่าว ไม่ว่าใครก็พอจะเดาได้ว่าภารกิจช่วยเหลือให้อูหย่าขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิยากเย็นแค่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรหนานปิงยังมีจักรพรรดิอยู่ อู๋ฝานไม่เชื่อว่าจักรพรรดิหนุ่มคนนั้นจะยอมสละบัลลังก์แต่โดยดี
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภารกิจนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับภารกิจจากนรก เว้นแต่จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา ซึ่งมันแทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อคิดถึงบทลงโทษของภารกิจล้างแค้น ชายหนุ่มก็ต้องปวดศีรษะอย่างรุนแรง
“ทำไมภารกิจแบบนี้ไม่มีให้เลือกทิ้งไปนะ? มันยากเกินไปแล้ว!” อู๋ฝานเริ่มบ่น
ทว่าต่อให้บ่นอย่างไร เขาก็ยังค่อนข้างพึงพอใจกับรางวัลของภารกิจที่ได้รับ เพียงแค่บทที่หนึ่งก็ได้รางวัลเป็นค่าสถานะรวมเก้าหน่วย รวมถึงตำราวิชาระดับลึกล้ำ ทั้งหมดรวมกันถือว่าเป็นรางวัลที่ดีเยี่ยม เพราะหากเทียบเปรียบแล้ว บทที่หนึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไรถึงขนาดนั้น
ส่วนภารกิจบทที่สอง ความยากของมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อู๋ฝานเชื่อว่าหากทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์ได้ รางวัลที่ได้รับจะต้องงดงามอย่างไร้ข้อกังขา
แต่จะทำบทที่สองให้สำเร็จได้ยังไง?
เป็นอีกครั้งที่เขาต้องรู้สึกปวดหัวจนเจ็บจี๊ด
จนกระทั่งเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกความเป็นจริง ชายหนุ่มก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จได้ยังไง
‘ช่างมัน เรื่องแบบนี้ต้องก้าวไปทีละก้าว ยังไงมันก็เป็นภารกิจที่จะทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเดินหน้าไปต่อ’ อู๋ฝานได้แต่คิดแบบนี้อยู่ในใจ
ปัจจุบันฟ้ายังไม่สาง ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดรีบลุกไปไหน
เฝิงอวิ๋นยังไม่จากไปไหน เขาคอยจับตามองยังโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ห่าง ทั้งถนนในเวลานี้ไม่มีใครอื่นแล้ว เพราะเฝ้าจับตาจนถึงตอนนี้ทำให้เขาทั้งหิวและเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่อาจปริปากบ่นออกมา ทั้งยังไม่คิดจากไปไหน เพราะทราบดีอยู่แก่ใจว่าตอนนี้คือโอกาส หลังจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น เขาก็จะได้อยู่ในสายตาของเจ้าเมืองอย่างจ้าวชิวซาน เมื่อถึงตอนนั้นโชคชะตาของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไป ยังไงก็ไม่มีทางได้กลับไปเป็นคนเฝ้าประตูเมืองอีกครั้งอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้แม้จะทั้งหิวโหยและเหนื่อยล้า แต่กำลังใจของเขายังคงดีเยี่ยม สายตายังจับจ้องมองยังโรงเตี๊ยมไม่ลดละ
“ตึก ตึก ตึก!”
บนถนนอันเงียบงัน ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเสียงฝีเท้า เสียงนี้ค่อนข้างเบาและไม่เป็นจังหวะ เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามา และหากพิจารณาเสียงฝีเท้านี้ให้ดีก็จะพบว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการให้คนอื่นรับรู้ แต่รอบด้านเงียบสงัดจนเกินไป เฝิงอวิ๋นที่คอยเฝ้าระวังมาโดยตลอดเลยได้ยิน
เฝิงอวิ๋นมองหาที่มาของเสียงจนพบกลุ่มคนที่กำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาสวมชุดสีดำและหน้ากากปิดบังใบหน้า เปิดเผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสอง
คนเหล่านี้ไม่ได้ไปที่ไหน แต่มุ่งหน้ามาทางเฝิงอวิ๋นจนทำให้เขารู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คนได้ออกมาหรือไม่?” หลังคนกลุ่มนี้มาหยุดตรงหน้าเฝิงอวิ๋น คนที่น่าจะเป็นผู้นำก็เอ่ยถาม
เฝิงอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติกลับคืนมาได้ คนเหล่านี้มาที่นี่เพราะเรื่องขององค์หญิงสามอูหย่า นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนที่จ้าวชิวซานส่งมา
“ขอรับ อยู่ขอรับ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่ออกไปไหนเลย ข้าคอยจับตามองตรงนี้ตลอด ไม่เห็นว่านางออกมาขอรับ!” เฝิงอวิ๋นรีบตอบ
อีกฝ่ายหันไปพยักหน้าให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“ไปได้แล้ว และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องที่พบในคืนนี้ ทราบใช่หรือไม่?” อีกฝ่ายหันมาบอกด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ขอรับ!” เฝิงอวิ๋นรีบพยักหน้ารับ
ตอนนี้เองที่เฝิงอวิ๋นตระหนักว่ากลุ่มคนที่เพิ่งมาถึง นอกจากคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม คนอื่นต่างถือไม้แห้งและเชื้อเพลิงเอาไว้ในมือ พวกเขาเร่งไปยังรอบนอกของโรงเตี๊ยม ก่อนจะโยนไม้แห้งเหล่านั้นเอาไว้รอบ ๆ
เมื่อเห็นเรื่องราวตรงหน้า เฝิงอวิ๋นก็หัวใจเต้นรัวเร็ว เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าคนกลุ่มนี้จะทำอะไร ตั้งแต่ตอนที่จ้าวชิวซานขอให้คอยจับตาดูเอาไว้ เขาก็คาดเดาถึงความเป็นไปได้นี้เอาไว้แล้ว แต่พอได้เห็นกับตาตัวเองก็ยังอดรู้สึกเย็นเยือกถึงสันหลังไม่ได้
“ยังไม่ไปอีก?” ผู้นำกลุ่มคนหันมาจ้องเฝิงอวิ๋น
“ไปแล้วขอรับ ไปแล้ว!” เฝิงอวิ๋นพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับไป ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องถัดจากนี้เป็นหน้าที่ของคนกลุ่มนี้ ส่วนพวกเขาจะทำอะไรนั้น ตนไม่คิดใส่ใจและไม่อยากจะใส่ใจ องค์หญิงสามจะเป็นหรือตายเขาก็ไม่สน สิ่งที่เขากำลังสนใจตอนนี้คืออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตนเอง
เฝิงอวิ๋นที่เห็นเรื่องราวรีบก้าวเท้าไปให้เร็วขึ้น เขาทราบดีว่าเพลิงไหม้ครั้งนี้คือการสังหารหมู่ ทว่าเขาไม่คิดใส่ใจ ทั้งยังไม่เกิดความรู้สึกผิดแต่อย่างใดด้วยซ้ำ
คิดทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง!
เฝิงอวิ๋นรู้สึกประหนึ่งเพิ่งได้ทำเรื่องอันยิ่งใหญ่ และคนคิดทำการใหญ่ก็จำเป็นต้องมีเล่ห์กลเพทุบายอยู่บ้าง กระทั่งต้องเหยียบย่ำซากศพเพื่อก้าวเดินขึ้นไปก็ต้องทำ
ไฟที่ไหม้โรงเตี๊ยมสะท้อนและลุกโชนขึ้นย้อมฟากฟ้ายามราตรีให้กลายเป็นสีชาด ไม่นานนักบ้านเรือนข้างเคียงต่างก็ตระหนักว่าโรงเตี๊ยมถูกไฟไหม้ บางคนพยายามหาทางดับไฟ แต่กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ไฟก็ลุกลามจนเกินจะควบคุมได้ไปแล้ว มันไหม้เกินกว่าที่พวกเขาจะทำอะไรได้
อูหย่าที่นอนอยู่ในห้องต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงอึกทึกภายนอก นางลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ก่อนจะเปิดมันและมองออกไปข้างนอก พร้อมพบว่ามีเพลิงลุกไหม้อยู่ไกลห่าง
“ทำไมกลางดึกถึงมีไฟไหม้แบบนี้ได้? หวังว่าจะไม่มีใครเสียชีวิตนะ” อูหย่าพึมพำกับตัวเอง
ที่หญิงสาวคิดเช่นนั้นก็เพราะนางคือองค์หญิงสามแห่งหนานปิง การจะเกิดความรู้สึกห่วงหาและไม่ต้องการพบเห็นประชาชนเดือดร้อนก็เป็นเรื่องปกติ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
อูหย่าเดินไปเปิดประตูพร้อมได้เห็นว่าเป็นลั่วเยวี่ย
“พี่อูหย่า ท่านเห็นไฟไหม้หรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“เห็น ไฟไหม้รุนแรงเลยทีเดียว อยู่ไกลขนาดนี้ก็ยังมองเห็น คนในเมืองคงตื่นกันหมดแล้ว” อูหย่าตอบกลับ
“พี่อูหย่า สถานที่ที่เกิดเพลิงไหม้คือโรงเตี๊ยมที่พวกเราอยู่กันก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ!” เด็กสาวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าและความรู้สึกซับซ้อน
……….