ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 650 กลายเป็นเถ้าถ่าน
บทที่ 650 กลายเป็นเถ้าถ่าน
“ว่าไงนะ?!” อูหย่าตื่นตกใจพร้อมหันไปมองทางหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อครู่นางเองก็รู้สึกได้ว่าทิศทางนั้นดูค่อนข้างคุ้นเคย ตอนนี้เมื่อลั่วเยวี่ยบอกออกมาจึงมั่นใจ
สถานที่ที่เกิดเพลิงลุกไหม้ มันคือโรงเตี๊ยมที่นางเพิ่งย้ายออกมา!
“นายท่านบอกให้พวกเราย้ายออกมาก่อน บางทีนายท่านคงคาดไว้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว” ลั่วเยวี่ยเอ่ยคำขณะเดินไปข้างกายอูหย่า
“อู๋ฝานอยู่ที่ไหน?” อูหย่าเอ่ยถาม
“นายท่านยังอยู่ที่ห้องเจ้าค่ะ“ ลั่วเยวี่ยตอบกลับ
“ไปกัน พวกเราต้องไปถามเขา” หญิงสาวไม่อาจอดกลั้นความสงสัยได้อีกต่อไป
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ!” ลั่วเยวี่ยรั้งอูหย่าเอาไว้ “ตอนที่นายท่านพักผ่อน ท่านไม่ต้องการให้ใครก็ตามเข้าไปรบกวน ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วแต่ท่านกลับไม่ออกมา นั่นก็หมายความว่าไม่ต้องการให้พวกเราไปรบกวนเจ้าค่ะ ทางที่ดีรอจนเช้าวันพรุ่งนี้ค่อยสอบถามอีกครั้งดีกว่านะเจ้าคะ”
อูหย่าครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ได้”
หลังจากนั้น อูหย่าจึงมองไปยังสถานที่ที่เพลิงลุกไหม้ จนถึงตอนนี้เพลิงก็ยังไม่ทุเลา กระทั่งรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ “เจ้าบอกว่าอู๋ฝานเดาได้แต่แรกแล้ว หมายความว่าเพลิงไหม้นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุงั้นหรือ?”
“ข้าไม่มั่นใจเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยส่ายหน้า “บางทีนายท่านอาจทราบอะไรมา”
“อู๋ฝานก็เหลือเกิน เขาบอกออกมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง แล้วให้คนอื่นคาดเดาเอาเอง” อูหย่าเริ่มบ่น
“บางทีนายท่านอาจจะแค่คาดเดา ไม่ใช่มั่นใจ เพราะเหตุนั้นถึงไม่ได้บอกรายละเอียดให้พวกเราทราบเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยช่วยพูดแทนอู๋ฝาน
“นั่นก็อาจจะใช่” อูหย่ามองสถานที่เกิดเพลิงไหม้ ทั้งอารมณ์ความรู้สึกและสีหน้าของนางในเวลานี้ค่อนข้างซับซ้อน
หากเพลิงไหม้ในครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ มันก็หมายความว่ามีคนกำลังจ้องจะสังหารนาง อาศัยจากการที่อู๋ฝานย้ำเตือนว่าต้องไม่ไปที่จวนเจ้าเมือง ในใจของอูหย่าตอนนี้จึงรู้สึกว่าผู้ต้องสงสัยอาจจะเป็นจ้าวชิวซาน
‘จะเป็นมันจริงหรือ? แต่เพราะอะไรมันถึงคิดจะฆ่า? มีเหตุผลอะไรกันแน่?’ อูหย่าได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
แต่คำถามของนางไม่มีใครในที่นี้ตอบได้ บางทีคงต้องรอจนพรุ่งนี้เช้า พอได้พบอู๋ฝานแล้วตนคงจะทราบอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง
เมืองซิงผิงกำลังอึกทึกเพราะเหตุเพลิงไหม้ อัคคีที่ลุกไหม้โรงเตี๊ยมก็เริ่มลุกลามออกไปยังบ้านเรือนข้างเคียง กองทัพประจำเมืองเร่งเข้ามาและพยายามดับไฟ ที่อื่นอาจควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ แต่ต้นเพลิงอย่างโรงเตี๊ยมกลับมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีกลางกองเพลิงไปแล้ว
“ใต้เท้า” บุคคลในชุดดำก้าวออกมาจากทางด้านหลังพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม
“เป็นยังไง?” จ้าวชิวซานเอ่ยถามโดยไม่หันกลับมอง
“โรงเตี๊ยมนั้นพินาศแล้วขอรับ ไม่มีใครรอดออกมาได้” ชายในชุดดำตอบกลับ
“ดี” จ้าวชิวซานพยักหน้ารับ “ไปบอกคนที่มีส่วนร่วมในภารกิจครั้งนี้ให้เงียบปากให้สนิท”
“ขอรับนายท่าน” ชายในชุดดำประสานมือตอบรับ
หลังชายชุดดำกลับออกไป จ้าวชิวซานจึงได้อยู่ในลานกว้างเพียงคนเดียวอีกครั้ง สายตาของเขาทอดมองไปยังโรงเตี๊ยมพร้อมกระซิบกับตนเอง “องค์หญิงสาม อย่าได้กล่าวโทษข้าเลย การกลับมาของท่านจะนำความเปลี่ยนแปลงมาด้วย ผู้คนมากมายไม่ต้องการให้ท่านมีชีวิต หากเลือกที่จะอยู่ภายนอกไปตลอดก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าอยากจะกล่าวโทษใคร ก็จงโทษตัวท่านเองที่เลือกเดินทางกลับมาที่นี่เถิด”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็หันกลับและเดินเข้าไปยังห้องหนังสือ เพื่อเตรียมเขียนจดหมายลับบอกเรื่องราวให้จักรพรรดิทราบ
“อู๋ฝาน เจียงฟั่นโจวตายแล้ว” อู๋ฝานที่ยังไม่ได้ลุกจากเตียงได้รับสายโทรจากหวังจื่อหมิง น้ำเสียงปลายสายค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่พอสมควร
“ตายยังไงครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ครับ” เขาตอบกลับ
“อือ” อีกฝ่ายรับคำ “ตอนนี้เกิดความวุ่นวายขึ้นในตระกูลเจียงแล้ว ตอนแรกก็เจียงอวี่ ตอนนี้ผ่านไปได้ไม่นานเจียงฟั่นโจวก็ตายตามไปด้วย ตำแหน่งของเขาในตระกูลเจียงไม่ใช่อะไรที่เจียงอวี่จะเทียบได้ เพราะเขาคือผู้นำของตระกูลเจียง เมื่อผู้นำตายลงอย่างกะทันหัน ทั้งตระกูลเจียงเลยเกิดความโกลาหล ตระกูลอื่นในเจียงโจวต่างก็วุ่นวายตามไปด้วย”
“ตระกูลหวังด้วยเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ใช่” หวังจื่อหมิงไม่ปฏิเสธหรือปิดบัง
“มีข่าวลือว่าที่เจียงฟั่นโจวตายเกี่ยวข้องกับนาย …ใช่เรื่องจริงไหม?” หวังจื่อหมิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา
“พี่หวังเพิ่งพูดเองว่าเป็นข่าวลือนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
“อันที่จริงต่อให้เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่ใช่สาระสำคัญแล้ว เพราะตระกูลเจียงไม่สนใจเรื่องตามหาตัวฆาตกร พวกเขากำลังยุ่งกับศึกแย่งชิงอำนาจภายใน รวมถึงต้องรับมือกับตระกูลอื่นในเจียงโจวที่พร้อมจะเข้าไปฉวยโอกาส ดังนั้นเลยไม่มีใครสนใจสืบสวนเรื่องสาเหตุการตายของเจียงฟั่นโจวอีกต่อไป” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “เว้นแต่พวกเขาจะรอดจากวิกฤตและหายนะครั้งนี้ไปได้ แต่เท่าที่ฉันรู้มา พวกเขาไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นี้”
ตระกูลใหญ่ในเจียงโจว โดยเฉพาะห้าตระกูลใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงสุดย่อมไม่อาจพลาดโอกาส พวกเขาพร้อมจะช่วงชิงทุกโอกาสเพื่อทำให้ตระกูลของตนเองแข็งแกร่งขึ้น ปัจจุบันตระกูลเจียงเกิดความวุ่นวายภายใน มันคือโอกาสดีที่จะทำให้อีกฝ่ายเสียหายหรือเข้ายึดครอง ไม่ว่าตระกูลใดในเจียงโจวต่างก็ไม่อยากพลาดโอกาสแบ่งเค้กก้อนใหญ่นี้
“โครงสร้างของเจียงโจวอาจจะต้องเปลี่ยนไปเพราะเหตุการณ์นี้สินะครับ” อู๋ฝานเอ่ยขึ้นมา
“ใช่” หวังจื่อหมิงตอบรับ “แล้วนายล่ะ มีความคิดอยากจะชิงอะไรจากโอกาสนี้บ้างรึเปล่า? ถ้ามีความคิด ฉันช่วยอำนวยความสะดวก และสร้างความร่วมมือจากทางตระกูลหวังให้ได้นะ”
“ผมเหรอครับ? ตอนนี้ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะยังมีเรื่องส่วนตัวต้องสะสางอยู่ครับ” เขาตอบกลับ
แนวโน้มการพัฒนาธุรกิจของอู๋ฝานในปัจจุบันค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดี แต่เพราะกิจการมีหลากหลายและมีความซับซ้อนในแบบของตัวเอง ดังนั้นมันจึงยังต้องใช้เวลากับเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ตอนนี้เขาจึงไม่มีแผนคิดขยับขยายชั่วคราว อย่างน้อยก็คงต้องรอให้กิจการทั้งหลายขณะนี้มั่นคงและก้าวเดินด้วยตัวเองต่อไปให้ได้ซะก่อน
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่อู๋ฝานไม่มีทั้งเวลาและเรี่ยวแรงจะไปจัดการอะไรกับตระกูลเจียง เพราะเขายังมีอีกเรื่องสำคัญอื่นที่ต้องทำ
“ก็นะ ตอนแรกฉันก็อยากจะร่วมมือกับนายอีกครั้งอยู่หรอก แต่คงต้องไว้โอกาสหน้าแล้วล่ะสิ” หวังจื่อหมิงตอบกลับมาด้วยความเสียดาย
ผลลัพธ์จากการร่วมมือกันก่อนหน้านี้กับชายหนุ่มค่อนข้างดี ตนจึงมองอีกฝ่ายเป็นดาวนำโชค ดังนั้นจึงหวังว่าเขาจะร่วมมือกับตระกูลหวัง แต่เหมือนเป้าหมายของอู๋ฝานในเวลานี้จะไม่ใช่เส้นทางนั้น
“เดี๋ยวต้องมีโอกาสแน่ครับ” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
“อือ”
หลังวางสาย อู๋ฝานก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ วันนี้เขามีเรื่องสำคัญต้องทำมากมาย ความเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับโลกเบื้องหน้าของเจียงโจว แต่โลกฝั่งผู้ฝึกตนของเจียงโจวก็กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน
และบุคคลที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดขึ้นคือ อู๋ฝาน!