ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 659 การตัดสินใจของซือหลิน
บทที่ 659 การตัดสินใจของซือหลิน
ได้บอกอะไรอีกรึเปล่า?
เมื่อคณะผู้อาวุโสที่ได้ยินคำถามต่างมองยังผู้อาวุโสเทียนเหออีกครั้ง ราวกับต้องการทราบว่าอู๋ฝานได้พูดอะไรไว้อีกหรือไม่
“เขาบอกว่าพวกเรามีเวลาตัดสินใจไม่มากครับ หากรอจนเวลาผ่านไปนาน เมื่อนั้นต่อให้เจ้าสำนักไปร้องขอด้วยตนเอง เขาก็จะไม่ตอบรับครับ” ผู้อาวุโสเทียนเหอกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างลำบากใจ
“อวดดี!”
“ช่างไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
“มันคิดเหรอว่าถ้าสำนักล้ำสวรรค์ของพวกเราไม่มีมันแล้วจะเอาตัวรอดไม่ได้?”
ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ชวนให้ประหลาดใจ บรรดาผู้อาวุโสระบายโทสะตอบโต้ท่าทีของชายหนุ่มกันอีกครั้ง
แต่เจ้าสำนักเช่นซือหลินยังคงเงียบ
“เจ้าสำนัก คงไม่ได้คิดจะยอมอยู่ใต้อาณัติของมันเหมือนอย่างวังเมฆาสีชาดใช่ไหมครับ!?” หนึ่งในผู้อาวุโสในสำนักเอ่ยถามซือหลิน
ขณะเขาเอ่ยถาม ทุกคนต่างหันไปมองซือหลิน
ซือหลินไม่ตอบคำถาม ทว่ามองยังผู้อาวุโสเทียนเหอ “นายคือคนที่รู้จักเขามากที่สุดในบรรดาพวกเราที่นี่ บอกมาว่าเขาเป็นคนยังไง ตอนที่เขาบอกจะรวบรวมทุกสำนักในเจียงโจว เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมหรือแค่คุยโวกันแน่”
สายตาของผู้คนต่างหันไปมองทางผู้อาวุโสเทียนเหออีกครั้ง
“เรื่องนี้…” ผู้อาวุโสเทียนเหอรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาล เขาได้ตระหนักว่าความเห็นของตนเองจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้าสำนัก ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าควรตอบยังไงดี เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับอีกหลายเรื่องราว ทั้งยังเกี่ยวข้องถึงความอยู่รอดของสำนัก
“บอกสิ่งที่เจ้าคิดอยู่ในใจออกมา ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” ซือหลินกล่าวบอก
“ครับ” ผู้อาวุโสเทียนเหอพยักหน้ารับ เนื่องจากการตัดสินใจในท้ายที่สุดแล้วยังคงเป็นของซือหลิน ไม่ใช่ของตัวเขา ดังนั้นจึงวางความกังวลในใจลง “อันที่จริงแล้วผมเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาอะไรมากนัก พูดตามตรงคืออู๋ฝานแทบไม่ได้ติดต่อกับผู้ฝึกตนคนไหนในเจียงโจวเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าเขาจะสนใจแค่การทำกิจการหาเงินไปเรื่อย เท่าที่ผมรู้มา ตอนที่เขามีเรื่องกับร้านคัลเลอร์แมน จนปัญหาลุกลามไปถึงวังเมฆาสีชาด ทั้งหมดเป็นเพราะผู้จัดการของร้านคัลเลอร์แมนเป็นฝ่ายไปหาเรื่องก่อนหลายต่อหลายครั้ง ราวกับตั้งใจยั่วยุเพื่อให้เขาตอบโต้จนเกิดเรื่องขึ้น”
ซือหลินและบรรดาผู้อาวุโสพยักหน้ารับ ปัญหาระหว่างชายหนุ่มและวังเมฆาสีชาดนั้น แม้คนนอกไม่ทราบรายละเอียดมากมาย แต่ก็ยังเข้าใจเรื่องราวหลักกันได้อยู่ สิ่งที่ผู้อาวุโสเทียนเหอบอกออกมาคือเรื่องจริง
“ตามความเข้าใจที่ผมมีต่ออู๋ฝาน เขาไม่ใช่คนที่ชอบเป็นฝ่ายสร้างปัญหาก่อน นอกจากนี้เขายังไม่ใช่คนที่อวดดี หากนำมาเทียบกับคนในแวดวงผู้ฝึกตนแล้ว เขาเลือกที่จะเก็บตัวเงียบและถ่อมตัวอย่างสุภาพด้วยซ้ำ อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนคนไหนที่มีอำนาจและแข็งแกร่งมากเท่าเขา แต่เลือกถ่อมตัวอย่างสุภาพแบบนี้มาก่อน” ผู้อาวุโสเทียนเหอเริ่มนึกย้อนเรื่องราวที่เคยได้พบเจอกับอู๋ฝานและบอกเล่า
ซือหลินพยักหน้ารับ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มเผยสีหน้าครุ่นคิด
“และตอนที่อู๋ฝานบอกออกมาว่าจะรวบรวมทุกสำนักทั้งเจียงโจวให้เป็นหนึ่ง ผมรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้คุยโวหรือโอ้อวด เขามีความคิดแบบนั้นจริง ๆ ทั้งยังมีความมั่นใจที่นิ่งสงบ ไม่งั้นเขาคงไม่บอกให้ผมทราบ” ผู้อาวุโสเทียนเหอบอกเล่าจนครบถ้วน
“นายกำลังจะบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อู๋ฝานจะทำสำเร็จงั้นหรือ?” ซือหลินเอ่ยถาม
“โดยส่วนตัวแล้ว …ผมเชื่อว่าเขามีโอกาสทำสำเร็จสูงมากเลยทีเดียวครับ” ผู้อาวุโสเทียนเหอตอบกลับ “แน่นอนว่าแรงต่อต้านย่อมมีและไม่ใช่เล็กน้อย ทุกสำนักในเจียงโจวที่เคยแยกกันอยู่ คงยากจะยอมรับการที่มีใครก็ไม่รู้ขึ้นมาเป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียว พวกเขาจะต้องต่อต้านอย่างแน่นอนครับ”
ซือหลินพยักหน้ารับก่อนจะถอนสายตาจากผู้อาวุโสเทียนเหอ เขากวาดสายตามองเหล่าผู้อาวุโสในโถงประชุมพลางเอ่ย “ขอให้ทุกคนบอกสิ่งที่คิดเห็นกับเรื่องนี้ออกมา เนื่องจากการตัดสินใจหลังจากนี้จะเกี่ยวพันถึงอนาคตของสำนักล้ำสวรรค์ ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ทางเลือกที่ผิดอาจนำไปสู่การตัดอนาคตของสำนัก หรืออาจทำให้สำนักของเราหายไปจากเจียงโจว”
เงียบ…
ทุกคนเริ่มตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา หากก่อนหน้านี้พวกเขาคือฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือแก่อู๋ฝาน ขณะนี้อีกฝ่ายก็เผยความต้องการรวมทุกสำนักในเจียงโจวเป็นหนึ่งให้ทราบออกมาแล้ว และพวกเขาไม่อาจเลือกเป็นฝ่ายยืนอยู่ด้านนอกเรื่องราวได้ ไม่ว่าจะตอบรับข้อเสนอหรือเป็นศัตรู มันมีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้น ไม่มีเส้นทางที่สาม
คนที่เมื่อครู่มีแต่ความขุ่นเคือง ตอนนี้ไม่กล้าพูดจาไม่ยั้งคิดออกมาอีก พวกเขาอาจโกรธกับท่าทีของอู๋ฝาน แต่ไม่อาจทิ้งอนาคตของสำนักไว้กับอารมณ์ชั่วครู่ได้
“เจ้าสำนัก ผมคิดว่าพวกเราไม่ตอบรับข้อเสนอของเขาจะดีกว่าครับ แม้เขาจะแข็งแกร่งและมีวังเมฆาสีชาดคอยช่วยเหลือ แต่ในเจียงโจวก็ยังมีอีกหลายสำนัก เมื่อไหร่ที่พวกเขาเหล่านั้นผนึกกำลังรวมกัน อู๋ฝานจะไม่อาจต่อกรได้”
“ผมเองก็เห็นด้วย ถ้าฝ่ายที่ต้องเผชิญหน้าเป็นเพียงหนึ่งหรือว่าสองสำนัก ด้วยความแข็งแกร่งที่อู๋ฝานและวังเมฆาสีชาดแสดงออกมาให้เห็นย่อมเอาชนะได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ที่ต้องเผชิญหน้าคือทุกสำนักในเจียงโจว มันไม่ใช่อะไรที่จะเทียบกันได้เลยครับ”
“แต่ผมคิดว่าอู๋ฝานน่าจะรวมสำนักใหญ่ในเจียงโจวได้สำเร็จ ก่อนหน้านี้หากถามว่าเขาจะเอาชนะวังเมฆาสีชาด สำนักตะวันเพ็จ และสำนักทะยานสวรรค์ได้หรือไม่นั้น มีใครบ้างที่เชื่อว่าเขาเอาชนะได้? อู๋ฝานแข็งแกร่งและทรงอำนาจกว่าที่พวกเราคิด บางทีเขายังไม่ได้เปิดเผยไพ่ในมือทั้งหมดออกมาด้วยซ้ำไป”
เหล่าผู้อาวุโสเริ่มแสดงความเห็นกันออกมาคนแล้วคนเล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีความคิดเพียงไม่พอใจอีกฝ่าย แต่เวลานี้พวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นจากก้นบึ้งกันออกมา ไม่มีใครกล้าใช้อารมณ์มาตัดสินใจอีกต่อไปแล้ว
หลังพูดกันครบถ้วน พวกเขาจึงมองยังซือหลินเพื่อรอคอยการตัดสินใจ เนื่องจากซือหลินคือเจ้าสำนัก ไม่ว่าพวกเขาจะร่วมมือหรือเป็นศัตรู ท้ายที่สุดคนตัดสินใจก็ยังเป็นอีกฝ่าย
ซือหลินเองก็ทราบดีถึงภาระอันหนักอึ้งที่แบกรับอยู่ เขารับรู้ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในแวดวงผู้ฝึกตนของเจียงโจว และพวกเขากำลังจะได้มีส่วนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ดังกล่าวขึ้น
“ตัดสินใจแล้ว” หลังครุ่นคิดอยู่นาน ซือหลินเอ่ยคำขึ้นมา “ฉันตัดสินใจเข้าร่วมกับอู๋ฝาน!”
เงียบ…
ทุกคนต่างมองหน้ากันเอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อในตัวชายหนุ่ม แต่เมื่อได้ยินการตัดสินใจของซือหลิน ความคิดของพวกเขาจึงเริ่มพันกันยุ่งเหยิง
“อันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีการตรวจสอบเรื่องของอู๋ฝานมาแล้ว ความคิดของฉันก็คล้ายกับเทียนเหอ เพราะแบบนั้นฉันถึงตัดสินใจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเขา เพราะมองว่าเขามีโอกาสชนะสูง!” ซือหลินเอ่ยปากบอกออกมา
“แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้คาดคิดว่าอู๋ฝานจะมีแรงทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าหลังจากเขาสั่งสอนบทเรียนแก่สำนักเหล่านั้นไปแล้วคงหยุดเอง เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะได้ร่วมแบ่งน้ำซุปสักเล็กน้อยแล้วแยกย้าย แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะไม่อาจคิดแบบนั้นได้แล้ว หากไม่ร่วมทานเนื้อด้วยกันก็จะถูกกำจัด เขามอบทางเลือกให้พวกเราเพียงแค่สอง และฉันเลือกที่จะเชื่อในตัวเขา!”
“เจ้าสำนัก หากอู๋ฝานทำพลาด เช่นนั้นสำนักล้ำสวรรค์ของพวกเรา…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งแสดงความลังเลออกมา
“หากอู๋ฝานล้มเหลว พวกเราก็พินาศไปพร้อมกับเขา!” ซือหลินไม่คิดละอายที่จะต้องพูดแบบนี้ออกมา “แต่หากพวกเราเลือกยืนหยัดต่อต้านและยืนเฉยดูจนเขาทำสำเร็จ เมื่อนั้นพวกเราก็พินาศอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีทั้งโอกาสสำเร็จและย่อยยับ แต่ถ้าเลือกติดตามเขาไป พวกเราก็ยังมีโอกาสได้รับผลประโยชน์ แน่นอนว่าเงื่อนไขยังคงอยู่ที่เขาต้องคว้าเอาชัยชนะมา และฉันเชื่อว่าเขาสามารถทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้!”