ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 66 เบื้องหลังการตรวจสอบ
บทที่ 66 เบื้องหลังการตรวจสอบ
บทที่ 66 เบื้องหลังการตรวจสอบ
“เศรษฐีเงินล้านคงไม่ไปซื้อวัตถุดิบอาหารเสียบไม้กันแบบนี้หรอกมั้ง?” อู๋ฝานพึมพำอยู่ในใจ
ภายหลังออกจากตลาดค้าไม้ อู๋ฝานจึงมุ่งตรงไปตลาดผักเพื่อซ้อวัตถุดิบ เพราะเงินจากเจ้าหย้าหนานจำเป็นต้องรอการชำระในอีกสองเดือน แม้อู๋ฝานตอนนี้ดูร่ำรวยขึ้นแล้ว แต่ไม่มีเงินสดอยู่กับตัว อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้รับเงินเหล่านั้น เขาก็ยังต้องทำบาร์บีคิวขายเพื่อเลี้ยงชีพ
ขณะอู๋ฝานกำลังซื้อผักและวัตถุดิบในตลาด ข่งไห่หลินและหวังจื่อหมิงก็นั่งอยู่ภายในห้องส่วนตัว เพื่อพูดคุยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
“นายน้อยข่ง นี่เป็นข้อมูลที่ต้องการ” หวังจื่อหมิงยื่นปึกเอกสารไปให้ตรงหน้าข่งไห่หลิน
ข่งไห่หลินคว้าเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน ยิ่งเขาได้อ่านไปเท่าใด ท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเท่านั้น
“คนที่ขายแค่บาร์บีคิวเลี้ยงชีพ อยู่บ้านเช่า คิดอยากจะแย่งผู้หญิงของฉันคนนี้?” ข่งไห่หลินวางเอกสารลงกับโต๊ะพร้อมกล่าวถ้อยคำเหยียดหยาม
ภายหลังได้ทราบสถานการณ์ของอู๋ฝาน ข่งไห่หลินยิ่งมั่นใจ ว่าตนเองและอู๋ฝานไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันแต่อย่างใด ในสายตาของเขา คนอย่างอู๋ฝานก็ไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่ง ที่หากเป็นในอดีต เขาจะไม่มองในสายตาเลยด้วยซ้ำ
“นายน้อยข่ง มีเรื่องราวเข้าใจผิดอะไรกันหรือไม่?” หวังจื่อหมิงลังเลที่จะเอ่ยถาม ก่อนหน้าที่จะส่งข้อมูลให้ข่งไห่หลิน หวังจื่อหมิงได้อ่านด้วยตนเองแล้ว ดังนั้นจึงทราบสถานการณ์ของอู๋ฝานเช่นกัน เพราะในการแข่งขันทำอาหารก่อนหน้านี้ หวังจื่อหมิงก็ไม่ได้มีความคิดอะไรต่ออู๋ฝานทั้งสิ้น เพียงแค่ประทับใจอยู่บ้าง แต่ไม่อาจมองเห็นว่าอู๋ฝานและข่งไห่หลินจะเป็นศัตรูต่อกันได้อย่างไร
“อู๋ฝานคนนี้ ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เขาเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูหลิ่ว? หรือคุณหนูหลิ่วชอบเขา? ผมเกรงว่ามันอาจเป็นเรื่องเข้าใจอะไรผิด” หวังจื่อหมิงเอ่ยคำ
ไม่ใช่ว่าหวังจื่อหมิงดูหมิ่นดูแคลนอู๋ฝาน แต่คนในแวดวงเช่นพวกเขา ไม่ว่าจะความรักหรือการแต่งงาน ทางครอบครัวล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับความเหมาะสม ความแตกต่างทางสถานะระหว่างอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป หวังจื่อหมิงจึงไม่อาจคิด ว่าระหว่างอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะมีความสัมพันธ์ต่อกันได้เช่นไร
“ไม่ว่าระหว่างทั้งสองจะความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ฉันจะไม่ละเว้นมันเพราะท่าทีที่มันทำต่อฉันเมื่อวานนี้!” ข่งไห่หลินตอบกลับ
ท่าทีของอู๋ฝานปฏิบัติต่อเขาเมื่อวาน ในสายตาของข่งไห่หลิน มันคือการหยามเกียรติเยาะเย้ยตัวเขา ดังนั้นประเด็นนี้จึงจำเป็นต้องลงโทษ!
ภายหลังได้อ่านข้อมูลของอู๋ฝาน ข่งไห่หลินย่อมคิดเหมือนดังที่หวังจื่อหมิงคิด เขาเองก็รู้สึกได้ว่าระหว่างอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่สมควรมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เพราะความแตกต่างทางสถานะระหว่างทั้งสองนั้นมากจนเกินไป
หวังจื่อหมิงครุ่นคิดไปครู่ก่อนจะตอบรับ “คิดจัดการอู๋ฝานไม่ใช่เรื่องยาก อย่างไรก็เป็นแค่คนธรรมดา แต่หากคุณหนูหลิ่วทราบเรื่องเข้า ผมเกรงว่าเธอจะยิ่งไม่ยินดี ต่อให้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรต่อกัน อย่างไรอู๋ฝานก็เป็นคนที่คุณหนูหลิ่วพามาที่นี่ หากลงมือกับอู๋ฝาน ก็เทียบเท่าการไม่ให้เกียรติคุณหนูหลิ่ว”
คำของหวังจื่อหมิง เป็นเหตุให้ข่งไห่หลินเกิดลังเล
ดังคำกล่าวจะตีสุนัขต้องดูเจ้าของ หากว่าคิดกำจัดอู๋ฝานจริง ก็เทียบเท่าการตบหน้าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ สุดท้ายคือการทำให้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่พอใจ
“งั้นจะปล่อยไป?” ข่งไห่หลินตอบกลับอย่างไม่ค่อยยินดีนัก
“เอาเป็นว่า ให้ผมไปพบอู๋ฝานก็แล้วกัน” หวังจื่อหมิงทราบดีว่าข่งไห่หลินไม่ยินดี บางทีข่งไห่หลินอาจทำอะไรกับอู๋ฝานจนเกินเลย “ผมจะขอให้เขาอยู่ห่างคุณหนูหลิ่ว รวมถึงให้เขามาขออภัยนายน้อยข่งเป็นอย่างไร?”
“ได้ เห็นแก่หน้านายก็แล้วกัน” ข่งไห่หลินตอบกลับ
แม้จากมุมมองของข่งไห่หลิน จัดการอู๋ฝานไม่นับเป็นอะไร แต่ยังต้องเห็นแก่หน้าหวังจื่อหมิง และห่วงใยความรู้สึกของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ทางที่ได้รับเสนอถือเป็นข้อเสนอที่ดี
“นายน้อยข่งตัดสินใจดีแล้ว!” หวังจื่อหมิงหัวเราะตอบรับ “มาดื่มกันดีกว่า ขอให้โฉมงามของนายน้อยข่งกลับคืนสู่อ้อมแขนในเร็ววัน”
“ตามจีบเหยียนเอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” สุดท้ายข่งไห่หลินจึงยิ้มออกมาได้ “ที่เมืองหลวง เธอไม่ชายตามองคนมากมายที่ไล่ตามจีบเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าสุดท้ายเธอจะตกเป็นของฉันอย่างแน่นอน!”
“แน่นอนครับ นายน้อยข่งและคุณหนูหลิ่วเป็นคู่สร้างคู่สม ท้ายที่สุดย่อมได้แต่งงานกันครับ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“ฮ่าฮ่า ต้องเป็นแบบนั้น” ข่งไห่หลินยิ้มรับด้วยความยินดี
ข่งไห่หลินค่อนข้างประทับใจต่อการตัดสินใจแก้ปัญหาของหวังจื่อหมิง
แท้จริงแล้ว ในอดีตคนทั้งสองก็ไม่ได้คุ้นเคยอะไรต่อกัน เพราะข่งไห่หลินมักมายังเจียงโจวเพื่อพบเจอหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ จึงมีคนอื่นแนะนำหวังจื่อหมิงให้รู้จัก ตลอดมาจึงได้เป็นเพื่อนและคนคุ้นเคยในแวดวงเดียวกัน ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งติดต่อทำอะไรได้สะดวก
อีกทั้งหวังจื่อหมิงยังจัดการกิจการได้ดี จึงทำข่งไห่หลินมีความประทับใจต่อหวังจื่อหมิง มองว่าพวกตนทั้งสองภายหน้าจะยิ่งรักษาสัมพันธ์อันดีต่อกันเรื่อยไป
หวังจื่อหมิงอยู่กับข่งไห่หลินด้วยใจ การได้รู้จักข่งไห่หลินคือโอกาสของหวังจื่อหมิง รวมถึงแม้กระทั่งครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังตัวเขา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดปล่อยโอกาสนี้หลุดลอย
เพียงแต่ที่ข่งไห่หลินไม่ทราบ คือการที่ภายหลังได้ติดต่อกันชั่วระยะหนึ่ง ในใจของหวังจื่อหมิง มันไม่ได้มีความประทับใจอันดีใดต่อข่งไห่หลิน แน่นอนว่าหวังจื่อหมิงไม่ใช่คนหนุ่มไม่รู้ความและหน้าโง่ เรื่องราวไม่อาจทำเพราะความเห็นชอบส่วนตัว จึงขีดเส้นแบ่งกับข่งไห่หลินเอาไว้ อีกทางหนึ่งก็คอยดูแลข่งไห่หลินด้วยความระมัดระวัง จัดการสิ่งที่ข่งไห่หลินมอบหมายอย่างจริงจังและแนะนำให้เข้าที่เข้าทาง
ภายหลังข่งไห่หลินกลับมายินดีมีสุขอีกครั้ง หวังจื่อหมิงก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่หยิบเอกสารที่ข่งไห่หลินวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาเก็บรวบรวมและมองมันอีกครั้งหนึ่ง
แท้จริงแล้ว ก่อนที่จะส่งเอกสารให้ข่งไห่หลิน หวังจื่อหมิงได้อ่านข้อมูลของอู๋ฝานจนทราบสถานการณ์ของเขาจนทราบดีแก่ใจ เพียงแต่ เวลานี้ เขาก็ยังคงเก็บเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาและมองมันอีกครั้งหนึ่ง
“อู๋ฝาน น่าสนใจเสียจริง” หวังจื่อหมิงพูดกับตัวเอง
ตอนที่ข่งไห่หลินอ่านข้อมูลของอู๋ฝานก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่มองโดยคร่าว ภายหลังได้เห็นว่าไม่มีพื้นเพเบื้องหลังอะไร เขาจึงไม่มองอู๋ฝานแต่อย่างใดอีก เพียงแต่หวังจื่อหมิงได้เห็นข้อมูลทั้งหมดครบถ้วน มันจึงทำเขาเกิดรู้สึกสับสน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องอ่านแฟ้มข้อมูลของอู๋ฝานทบทวนอยู่หลายครั้ง
สิ่งที่หวังจื่อหมิงสงสัยมีสองประเด็น หนึ่งคืออู๋ฝานมีทักษะการทำอาหารได้อย่างไร และอีกหนึ่งประเด็น คือเพราะอะไรเขาจึงได้เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจวอย่างกะทันหัน
หวังจื่อหมิงไม่คิดว่าในประวัติการศึกษา รวมถึงประวัติการทำงานก่อนหน้านี้ของอู๋ฝานมีอะไรผิดปกติ อย่างมากที่สุด เขาก็รู้สึกว่าอู๋ฝานดูจะโชคร้ายไปบ้าง เพียงแต่หวังจื่อหมิงมองว่าฝีมือการทำอาหารและตัวตนอาจารย์ของเขามีความน่าสงสัย
ลำพังแค่อู๋ฝานทำอาหารด้วยตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ แค่การทำอาหารอร่อยบ้าง หลายคนก็ทำได้ แต่แล้วฝีมือการทำอาหารกลับสามารถก้าวข้ามเชฟใหญ่หลิว ที่ซึ่งทั้งเจียงโจวมีน้อยคนจะทำได้ อู๋ฝานสามารถข้ามผ่านเชฟใหญ่หลิวได้ เพียงเพราะอาศัยฝีมือการทำอาหารด้วยตนเองงั้นหรือ?
ในความเห็นของหวังจื่อหมิง มันดูแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้