ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 661 ทำไมยังไม่ตาย
บทที่ 661 ทำไมยังไม่ตาย
“เจ้ากำลังจะบอกว่า พี่สี่…” อูหย่าเผยอาการตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันก็เกิดความหมองหม่น
“หากไม่ใช่เพราะเขา เจ้าก็ลองพิจารณาดูสิว่าคนที่เป็นแค่เจ้าเมืองจะกล้าโจมตีองค์หญิงเช่นเจ้างั้นหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
สีหน้าของอูหย่าเริ่มหมองหม่นและสับสน นางก้มศีรษะขณะเงียบเสียง
“เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด ดังนั้นอย่าเพิ่งใจร้อนและเศร้าไปก่อน” ชายหนุ่มกล่าวปลอบ “ความจริงแล้วการที่ข้าตัดสินใจย้ายออกจากโรงเตี๊ยม มันก็เกี่ยวข้องกับลั่วเป่าซงด้วย”
“หมายความว่ายังไง?” อูหย่าเอ่ยถาม
“เจ้าคงไม่คิดว่าในเมื่อพวกเราได้พบลั่วเป่าซงและเจรจากันแล้ว จะเชื่อใจเขาได้เต็มร้อยกระมัง?” เขายิ้มตอบ
“เจ้ายอมเปิดเผยตัวตนของข้าแก่เขาไม่ใช่หรือ? ข้านึกว่าเจ้าเชื่อใจเขาแล้ว” อูหย่าตอบกลับ
“เหตุผลที่ข้ายอมรับตัวตนของเจ้าก็เพราะเขาวิเคราะห์จนแน่ชัดแล้ว อีกทั้งข้ายังต้องการทดสอบเขา หากควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจ มีคนเช่นเขาเอาไว้ข้างกายจะต้องมีส่วนช่วยไม่เจ้าก็ข้าในอนาคตอย่างแน่นอน” อู๋ฝานบอก
“ยังไม่มีอะไรที่แน่ชัด” ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างในทิศทางที่มีซากของโรงเตี๊ยมตั้งอยู่ “แต่ทุกอย่างใกล้จะกระจ่างแล้ว”
อูหย่าพยักหน้ารับ พร้อมกันนี้ยังพบว่าตั้งแต่อยู่กับอู๋ฝาน ความสามารถในการครุ่นคิดถึงปัญหาของนางแทบไม่ถูกใช้งาน ในอดีตนางมักจะออกไปฝึกฝนตามลำพัง เมื่ออยู่คนเดียวคนที่สามารถพึ่งพาได้ก็มีแต่ตนเองเท่านั้น ขณะหลังอยู่กับชายหนุ่ม การพิจารณาและตัดสินใจทุกเรื่องจะขึ้นอยู่กับเขา ส่วนนางทำเพียงเชื่อในการตัดสินใจเท่านั้นก็พอ
หลังลั่วเยวี่ยและลั่วหยางตื่นแล้ว อู๋ฝานและคณะจึงเตรียมออกไปด้านนอก แต่ไม่ใช่การออกไปนอกเมือง ทว่าเป็นการไปพบลั่วเป่าซงที่ยังอยู่ในเมืองต่างหาก
“วิเศษแล้ว องค์หญิงสาม คุณชายอู๋ พวกท่านยังคงอยู่ดี!” ลั่วเป่าซงค่อนข้างตื่นเต้นและยินดีในยามพบกลุ่มคน
“มิใช่เถ้าแก่ลั่วหวังให้เกิดอะไรกับพวกเราหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ย่อมไม่ใช่ขอรับ!” ลั่วเป่าซงเร่งร้อนตอบกลับ “หลังทราบว่าโรงแรมที่พวกท่านไปพักเกิดเพลิงไหม้เมื่อคืน ข้าก็ร้อนใจจนไปดูสถานการณ์อยู่แถวนั้น ทว่ารอนานแล้วก็ยังไม่พบพวกท่าน ข้ากังวลแทบตายว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ทั้งคืนทำเอานอนไม่หลับเสียด้วยซ้ำ”
“เถ้าแก่ลั่วทราบหรือไม่ว่าต้นเพลิงมีเหตุมาจากอะไร?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“เจ้าหน้าที่ของทางการกล่าวว่าเพราะอากาศค่อนข้างแห้ง เลยบังเอิญเกิดอัคคีเพลิงลุกไหม้ขอรับ” ลั่วเป่าซงตอบกลับ
“แล้วเชื่องั้นหรือ?” เขาถามต่อ
“ข้าย่อมไม่เชื่อขอรับ” ลั่วเป่าซงเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคนก่อนจะกระซิบ “ตอนที่ข้ารีบไปดูเมื่อคืนนี้ ข้าได้กลิ่นน้ำมัน และมันก็เป็นช่วงที่เพลิงเพิ่งลุกไหม้ มันไม่มีทางที่ใครจะบังเอิญเอาน้ำมันไปราดไว้ตรงนั้นได้แน่ ดังนั้นจึงต้องเป็นการวางเพลิงโดยเจตนา”
“เถ้าแก่ลั่วคิดว่าใครจะเป็นคนวางเพลิงได้บ้างเล่า?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…” ลั่วเป่าซงมองอูหย่าที่อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มด้วยความลังเล
“เถ้าแก่ลั่วเพียงแค่กล่าวออกมาก็พอ” เขาตอบกลับ
“ข้าสงสัยว่าบางทีอาจจะเป็นการกระทำของจวนเจ้าเมืองขอรับ“ ลั่วเป่าซงตอบกลับ
“มีหลักฐานอะไรหรือไม่?” อู๋ฝานถามต่อ
“ไม่มีหลักฐานใด ๆ ขอรับ” ลั่วเป่าซงตอบกลับ “เพียงแต่เมืองซิงผิงแห่งนี้สงบสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวานที่เกิดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะกล้าก่อเหตุถึงขนาดนั้น อีกทั้งกว่าคนของทางการจะมาดับเพลิงก็สายเกินไปแล้ว ตอนที่มาถึงข้ายังเห็นว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่อยากจะดับเพลิงเลยด้วยซ้ำ”
“อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ พวกเราไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับจวนเจ้าเมือง” อู๋ฝานตอบกลับ
“เป็นดังที่ท่านว่าขอรับ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น” ลั่วเป่าซงตอบรับ
ชายหนุ่มพยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไรอีก
“เดินทางไปพร้อมกันเลยน่าจะดีกว่าขอรับ” ลั่วเป่าซงตอบรับ “เรื่องที่ต้องจัดการที่นี่ข้าก็จัดการเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดังนั้นจึงพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ”
ลั่วเป่าซงต้องการเกาะติดอูหย่าเอาไว้ ดังนั้นเขาย่อมต้องอยากเดินทางไปเมืองหลวงอาณาจักรหนานปิงพร้อมกับนาง
อู๋ฝานพยักหน้ารับ เขาไม่คิดปฏิเสธการเดินทางพร้อมอีกฝ่ายอยู่แล้ว
ทั้งคณะที่พร้อมเดินทาง ไม่นานก็ออกไปจากเมืองซิงผิง
“ว่าอะไรนะ!? องค์หญิงสามออกไปนอกเมืองแล้ว” ไม่นานหลังพวกอู๋ฝานออกเดินทาง จ้าวชิวซานจึงได้ทราบข่าวที่รายงานมายังจวนเจ้าเมือง หลังรู้เช่นนั้นเขาก็ต้องแตกตื่น “ทำไมนางยังไม่ตาย?”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ” บุคคลที่มารายงานตอบรับตามตรง “แต่องค์หญิงสามติดตามกองคาราวานออกไปนอกเมืองแล้ว นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็นขอรับ”
จ้าวชิวซานเคยแจ้งกับผู้บังคับบัญชาทหารที่เฝ้าประตูเมืองทั้งสี่ทิศว่าให้คอยจับตาดูอูหย่าเอาไว้ ดังนั้นเฝิงอวิ๋นจึงไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่เฝ้าระวังในเรื่องนี้
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เพลิงไหม้เมื่อวานเผามันไม่ตายงั้นหรือ? แต่ที่โรงเตี๊ยมนั่นก็ไม่มีใครรอดชีวิตออกมาไม่ใช่รึยังไง?” จ้าวชิวซานกำลังสับสน เพราะไม่ทราบว่าเรื่องนั้นผิดพลาดที่ตรงไหน
“ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ผู้บังคับบัญชาเฝ้าประตูเมืองตอบรับก่อนจะออกไป
“ข้ารับใช้!” หลังอีกฝ่ายออกไปแล้ว จ้าวชิวซานจึงตะโกนเรียกหน้าประตู
ไม่นานประตูก็เปิดออก ข้ารับใช้ทั้งสองคนเดินเข้ามา “เรียกตัวเฝิงอวิ๋นและหลี่ซานมาเดี๋ยวนี้!”
หลี่ซานคือคนที่รับผิดชอบนำกลุ่มคนไปวางเพลิงเมื่อคืน
ตอนที่เฝิงอวิ๋นได้รับคำสั่ง มันเป็นช่วงที่เขากำลังคุยโวกับผู้ใต้บังคับบัญชา
“เฝิงอวิ๋น ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ไปพบที่จวนทันที”
“ใต้เท้าใกล้จะเป็นใหญ่เป็นโตแล้วสิ!”
“ใต้เท้าสามารถเข้าพบเจ้าเมืองได้ตามสะดวกเช่นนี้ ทำเอาพี่น้องอิจฉาแทบตายแล้ว!”
“เมื่อใดใต้เท้าก้าวหน้าขออย่าลืมพี่น้องเช่นพวกเรานะขอรับ!”
บรรดาลูกน้องของเฝิงอวิ๋นต่างเอ่ยเยินยอไม่หยุดหย่อน
เฝิงอวิ๋นในปัจจุบันค่อนข้างอารมณ์ดี เพราะเขาได้ช่วยเจ้าเมืองทำภารกิจลับที่สำคัญ ดังนั้นภายหน้ามีแต่จะยิ่งเจริญก้าวหน้า นับจากนี้เขาจะไม่ใช่แค่ทหารเฝ้าประตูเมืองอีกต่อไป
แต่หลังได้พบจ้าวชิวซาน ความยินดีของเฝิงอวิ๋นพลันต้องหายวับไป
“พวกเจ้าทั้งสองจงรายงานมาว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงสาม? พวกเจ้าไม่ได้ยืนยันว่านางตายแล้วงั้นหรือ? เพราะอะไรนางถึงยังอยู่ดีจนถึงตอนนี้ออกไป และนอกเมืองแต่เช้าได้?” จ้าวชิวซานแสดงโทสะออกมาและโพล่งถามคนทั้งสอง
“เป็นไปไม่ได้!” ทั้งเฝิงอวิ๋นและหลี่ซานต่างตอบรับแทบจะพร้อมกัน
“อะไรที่เป็นไปไม่ได้? พวกเจ้ากำลังจะบอกว่าผู้ใต้บัญชาที่รายงานข้าโกหกงั้นหรือ?” จ้าวชิวซานเอ่ยถามด้วยใบหน้าดำมืด
“เรื่องนี้…” คนทั้งสองไม่ทราบว่าควรจะตอบรับต่อเรื่องราวอย่างไร
“พวกเจ้าจงอธิบายมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น” จ้าวชิวซานยังคงถาม
“เมื่อวานข้าคอยจับตามองโรงเตี๊ยมเอาไว้ตลอด องค์หญิงสามที่เข้าไปแล้วไม่ได้ออกมาอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวขอรับ” เฝิงอวิ๋นรีบบอก
“หลังวางเพลิง ข้าได้กระจายกำลังปิดล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ และพบว่าไม่มีใครหลบหนีออกมาเลยขอรับ” หลี่ซานเร่งร้อนอธิบายเช่นกัน
“หากพวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด งั้นองค์หญิงสามฟื้นคืนชีพจากกองเพลิงได้รึไง?” จ้าวชิวซานยังคงถาม
การฟื้นคืนชีพจากกองเพลิงย่อมเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเรื่องนี้มันก็ต้องมีความผิดพลาดที่ไหนสักแห่ง เพียงแต่เฝิงอวิ๋นและหลี่ซาน รวมถึงจ้าวชิวซานไม่อาจทราบก็เท่านั้นเอง
……….