ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 662 มีคนสะกดรอยตาม
……….
บทที่ 662 มีคนสะกดรอยตาม
“ข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง” จ้าวชิวซานเอ่ย “ข้าส่งคนตามพวกมันไปแล้ว พวกเจ้ารีบตามไปสมทบและทำให้แน่ใจว่าฆ่าพวกมันตายทั้งหมด ครั้งนี้ต้องไม่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องเสนอหน้ากลับมาอีก”
“ขอรับใต้เท้า!” เฝิงอวิ๋นและหลี่ซานต่างตอบรับพร้อมกัน
จากนั้นคนทั้งสองจึงเร่งร้อนออกไป ความผิดพลาดครั้งก่อนทำให้จ้าวชิวซานโกรธเกรี้ยว ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาจะต้องไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก
นอกเมืองซิงผิง อู๋ฝานและคณะกำลังเดินทางกันต่อ อันที่จริงเมืองหลวงของอาณาจักรหนานปิงก็ไม่ได้อยู่ไกลออกไปสักเท่าไหร่ พวกเขาสามารถเดินทางถึงได้ในเวลาไม่นาน แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกล แต่การเดินทางกลับก็ไม่ได้ราบรื่น
“มีคนตามมาอย่างที่คิด” อู๋ฝานเอ่ยกับตนเอง
เพราะอินทรีวายุคอยสอดส่องบนฟ้าตลอด เขาจึงทราบทุกเรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ แม้กลุ่มคนที่ติดตามมาจะระมัดระวังตัวแค่ไหน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังถูกอินทรีวายุพบอยู่ดี
“เจ้าว่าอะไรนะ?” อูหย่าที่นั่งอยู่ในรถลากคันเดียวกันเอ่ยถาม
“เหมือนเจ้าเมืองจะยังไม่ยอมแพ้ การเดินทางของพวกเราคงไม่ราบรื่นนัก” เขาบอกกับอีกฝ่าย
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นเขา?” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ไม่ผิดตัวแน่” ชายหนุ่มตอบกลับ เนื่องจากในเมืองซิงผิงมีคนกล้าก่อการวางเพลิงไม่มาก อีกทั้งขณะนี้ยังส่งกลุ่มคนสะกดรอยตามมา ผู้ต้องสงสัยสูงสุดจึงย่อมไม่พ้นจ้าวชิวซาน
อูหย่าเริ่มเผยสีหน้ากังวล หากเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงเตี๊ยมเมื่อคืนก่อนเป็นฝีมือของจ้าวชิวซาน มันก็กำลังบ่งบอกว่าพี่สี่ของนางคือต้นตอของปัญหา
“มีคนตามมาอีก!” อู๋ฝานเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันตอนที่อูหย่ากำลังครุ่นคิดด้วยความเศร้าหมอง
“อะไรนะ!?” นางถึงกับสะดุ้งขึ้นมา
อู๋ฝานไม่ได้มองอูหย่า แต่หันไปบอกลั่วเยวี่ย “ไปแจ้งลั่วเป่าซง บอกให้เขาหยุดกองคาราวานและเตรียมตั้งขบวนป้องกันด้วย ศัตรูกำลังบุกมาแล้ว!”
“รับคำสั่งนายท่านเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยตอบรับพร้อมกับเร่งร้อนลงจากรถลากเพื่อไปแจ้งลั่วเป่าซง
“พวกมันไล่ตามมาเร็วขนาดนี้เชียว?” อูหย่าถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่ มีคนกำลังบุกเข้ามาจำนวนหนึ่งเลย” เขาตอบ
เพราะอินทรีวายุช่วยสำรวจ ชายหนุ่มจึงได้เห็นชัดว่าคนกลุ่มนี้มุ่งหน้าออกมาจากเมืองซิงผิง ทั้งยังตรงมาหาพวกเขาโดยไม่แวะข้างทาง ช่วงเวลาที่อ่อนไหวเช่นตอนนี้ เขาไม่อาจมองว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ โดยเฉพาะการที่คนกลุ่มนั้นแต่งกายเป็นโจรขี่ม้า มันจึงยิ่งทำให้น่าสงสัยในทุกส่วน
ลั่วเป่าซงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทั้งกองคาราวานรีบหาชัยภูมิที่ได้เปรียบในการตั้งรับ หลังตั้งขบวนป้องกันแล้ว ทุกคนที่อยู่ในขบวนป้องกันต่างตื่นตัวและระมัดระวังรอบด้าน
ลั่วเป่าซงไม่ทราบว่าอู๋ฝานค้นพบเรื่องที่ศัตรูบุกไล่ตามมายังไง แต่เมื่อคิดว่าศัตรูคือคนที่วางเพลิงโรงเตี๊ยมเมื่อคืนก่อนคือเจ้าเมือง มันก็ไม่น่าแปลกใจหากเขาจะทราบเรื่องที่องค์หญิงสามยังมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายคงจะไม่ยอมปล่อยนางออกไปง่าย ๆ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะไล่ตามมาปิดงานให้เรียบร้อย
สำหรับคนค้าขายที่เดินทางไปทั่วทุกทิศ ลั่วเป่าซงมีประสบการณ์ถูกโจมตีระหว่างทางมาอย่างโชกโชน อย่างไรทุกที่ก็มีแต่ปัญหา โจรผู้ร้ายและทหารกบฏมีอยู่ทั่วไปหมด คนค้าขายเช่นเขาที่เดินทางไกลบ่อยครั้ง ย่อมได้พบสารพัดเรื่องราวระหว่างทาง แม้จะสูญเสียไปมาก แต่มันก็แลกมาด้วยประสบการณ์ที่ผู้อื่นยากจะเสมอเหมือน
“ตึก ตึก ตึก!”
ไม่นานหลังจากกองคาราวานของลั่วเป่าซงตั้งขบวนป้องกัน พวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าที่ห้อตะบึงเข้ามาใกล้ กลุ่มคนขี่ม้าเริ่มปรากฏในระยะการมองเห็น แทนที่จะเป็นทหารม้า แต่กลับเป็นกลุ่มคนในชุดโจรขี่ม้า ทว่ารูปขบวนของพวกเขาค่อนข้างเป็นระเบียบมากกว่ากองโจรทั่วไป ทั้งยังแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน
กลุ่มโจรเหล่านี้ย่อมเป็นเฝิงอวิ๋น หลี่ซาน และลูกน้องที่ไล่ตามมาสมทบ เพื่อรับหน้าที่บุกโจมตีพร้อมสังหารองค์หญิงสามให้เรียบร้อย พวกเขารีบเปลี่ยนชุดก่อนจะเดินทางออกนอกเมือง เพื่ออ้างตัวเป็นกลุ่มโจรขี่ม้า ยุคนี้หากเดินทางไปไหนมาไหนแล้วพบกองโจรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ถ้าองค์หญิงสามถูกกองโจรขี่ม้าฆ่าตาย มันทั้งไม่ใช่เรื่องแปลก และยังยากจะสืบหาตัวคนร้ายเสียด้วยซ้ำ
ทว่าตอนที่เฝิงอวิ๋นกับพวกหลี่ซานตามมาถึง พวกเขากลับพบว่ากองคาราวานเตรียมตั้งขบวนป้องกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้พวกเขาจะไม่คุ้นชินกับขบวนป้องกันของกองคาราวาน แต่อีกฝ่ายมีท่าทีที่บ่งบอกว่าพร้อมจะรับการโจมตีก่อนพวกเขาจะโผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่าเป็นการกระทำเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้
“บุกไปฆ่าพวกมันให้หมด แล้วปล้นชิงทุกอย่างมา!” หลี่ซานตะโกนดัง
ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ทหารของเมืองซิงผิง รวมถึงไม่ใช่องครักษ์ของจ้าวชิวซาน แต่เป็นกองโจรขี่ม้า ดังนั้นจึงต้องฆ่าคนเพื่อปล้นสะดม
เพียงหลี่ซานออกคำสั่ง กลุ่มคนที่มาพร้อมกันต่างก็ควบม้าบุกทะยานเข้าหาขบวนป้องกันของกองคาราวาน
หลี่ซานและเฝิงอวิ๋นบุกเป็นแนวหน้าเพื่อเตรียมลงมือสังหารด้วยเจตนาเหี้ยมโหด
อีกฝ่ายเป็นเพียงกลุ่มคนคุ้มกันกองคาราวาน พวกเขาบุกเพียงครั้งเดียวย่อมสยบได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทำพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้พวกเขาต้องลงมือให้สำเร็จ!
“อย่าเพิ่งแตกตื่น! ป้องกันเอาไว้! ใช้รถขนสินค้าให้เป็นประโยชน์! หากใช้รถม้าขวางพวกมันเอาไว้ได้ อำนาจของการใช้ม้าบุกก็ลดทอนลงไปครึ่ง!” ผู้นำขบวนป้องกันกองคาราวานตะโกนเสียงดัง
ช่วงที่ยังสงบ ลั่วเป่าซงคือคนรับผิดชอบกองคาราวาน แต่เมื่อใดถูกโจมตี ผู้นำขบวนป้องกันจะรับผิดชอบออกคำสั่งและบัญชาการ
“พวกท่านถอยกลับไปเถิด เมื่อไหร่ที่การต่อสู้เปิดฉากขึ้น พวกท่านซ่อนอยู่ด้านหลังจะปลอดภัยกว่า ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาดูแลพวกท่านหรอกนะ” ผู้นำขบวนป้องกันบอกกับอู๋ฝานและคณะ
เนื่องจากเขาไม่ทราบข้อมูลและตัวตนของพวกอู๋ฝาน แต่พิจารณาจากท่าทีที่ลั่วเป่าซงมีให้ อีกฝ่ายน่าจะต้องมีสถานะสูงส่ง อีกทั้งลั่วเป่าซงยังบอกให้เขาคอยปกป้องอีกฝ่ายไว้ ดังนั้นเขาจึงย้ำเตือนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“กองโจรขี่ม้าบุกเข้ามาแล้ว สถานการณ์ตอนนี้อันตราย พวกท่านควรถอยออกไป พวกมันไม่ใช่พวกคนที่มีอารยะ!” ผู้นำขบวนป้องกันขมวดคิ้วและเตือนอีกครั้ง
เมื่อเกิดศึก เขาไม่ชอบการที่ต้องมาคอยตามเช็ดล้างให้คนที่สูงศักดิ์กว่า หากอีกฝ่ายเชื่อฟังก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เชื่อฟัง มันจะส่งผลกระทบต่อการบัญชาการของเขา
และก็เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนตรงหน้าไม่เชื่อฟัง
เพียงเขาเอ่ยจบได้ไม่นาน ก็ได้เห็นคุณชายอู๋ที่ลั่วเป่าซงเรียกหาด้วยความนับถือหยิบเอาคันธนูและลูกธนูออกมาจากที่ใดไม่ทราบ เพียงชั่วพริบตามือนั้นก็โน้มสายธนูอย่างชำนาญก่อนจะยิงลูกธนูออกไป ลูกธนูที่พุ่งทะยานเป็นประหนึ่งลำแสงตัดผ่านห้วงอากาศ
“ปึก!”
“ตึง!”
ผู้นำขบวนป้องกันมองตามลูกธนูของอู๋ฝาน และพบว่ามันพุ่งเข้าไปปักใส่ร่างของชายที่นำหน้ากองโจรขี่ม้า หลังอีกฝ่ายถูกปักใส่ร่างก็ร่วงหล่นจากหลังม้า ก่อนจะกลิ้งไปมากับพื้นจนม้าที่ขี่ตามหลังมาเหยียบย่ำจนตายคาที่
“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก” อู๋ฝานหันไปบอกผู้นำขบวนป้องกันอีกครั้ง “บัญชาการส่วนของพวกเจ้าให้ดีก็พอแล้ว”
……….