ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 666 ทีมทั้งสอง
บทที่ 666 ทีมทั้งสอง
พวกอู๋ฝานพยายามส่งมอบเงินให้ ทว่าชายชรายืนยันปฏิเสธไม่รับเงิน ท้ายที่สุดหลังพูดคุยกันอีกหลายคำเขาจึงกลับห้องของตัวเองไป
“ผู้เฒ่าท่านนี้มีจิตใจดีเกินแล้ว” อูหย่าตอบรับด้วยความซึ้งใจ
“ใช่” อู๋ฝานตอบกลับ “ลั่วหยาง ไปที่ตลาดแล้วซื้อหาอาหารมาจำนวนหนึ่ง คอยระมัดระวังเรื่องการโดนสะกดรอยด้วย อย่าให้เป็นเป้าสายตา”
“ขอรับนายท่าน” ลั่วหยางตอบรับก่อนจะออกไปซื้อหาอาหาร
ตอนนี้พวกอู๋ฝานอยู่พูดคุยในห้องเดียวกัน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาพักผ่อนจึงไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนแยกแต่อย่างใด
“ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว อีกสักสองวันก็น่าจะไปถึง” อูหย่าตอบกลับ
“สองวันก็ถือว่าไม่นาน” ชายหนุ่มตอบรับ “แต่การเดินทางคงไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่”
เนื่องจากวันนี้พวกเขาประสบเหตุการณ์ถูกบุกโจมตีมาหลายครั้ง จึงเชื่อได้ว่าคนที่ลงมือจะไม่มีทางหยุดจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
“พวกเราแยกจากกองคาราวานแบบนี้จะดีจริงหรือเจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความกังวล
คนคุ้มกันของกองคาราวานพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง และการมีคนช่วยมากขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า ทว่าตอนนี้พวกเขาแยกออกมาลำพังจึงมีกำลังรบลดลง
“ไม่เป็นไร ตามที่อู๋ฝานบอกมาก่อนหน้านี้ การแยกกับกองคาราวานจะทำให้เดินทางได้ง่ายกว่า” หญิงสาวตอบกลับ “พวกเรามีกันไม่มากจึงสามารถใช้เส้นทางขนาดเล็กได้”
“ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องรู้จักเส้นทางเยอะ” เขายิ้มออกมา
“เป็นดังที่ว่า หรือเจ้ากำลังคิดว่าข้าออกเดินทางไปหาประสบการณ์หลายปี ทว่ากลับไม่ได้อะไรเลยงั้นหรือ?” อูหย่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจขึ้นมา “ข้าได้ไปยังสถานที่มากมาย อาณาจักรอื่นก็ไปมา ดังนั้นการจะคุ้นเคยกับพื้นที่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นับประสาอะไรกับที่นี่ซึ่งเป็นอาณาจักรหนานปิง”
“ก็จริง” เขาตอบกลับ “เจ้าไม่ใช่องค์หญิงที่ชอบอยู่แต่ในวังอยู่แล้ว”
ไม่นานนักลั่วหยางก็ซื้อของกลับมาแล้ว อู๋ฝานบอกให้แบ่งส่วนหนึ่งมอบให้ชายชรา ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะเริ่มทานอาหารกันภายในห้อง
หลังทานกันเรียบร้อย คนทั้งสี่จึงแยกย้ายกลับห้องของตนเอง
“ลั่วหยาง คอยเฝ้าระวังด้วยว่าด้านนอกจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่” ภายในห้อง ชายหนุ่มเอ่ยเตือนลั่วหยาง
“นายท่านหมายความว่ายังไงขอรับ?” ลั่วหยางถามด้วยความสงสัย
“แม้พวกเราจะไม่ได้มีเจตนาทำร้ายผู้อื่น แต่ก็ต้องคอยระมัดระวังคนอื่นเอาไว้ตลอดด้วย” เขาตอบกลับ “คอยฟังเสียงที่อาจจะเกิดขึ้นทางปีกตะวันออกของบ้าน เข้าใจใช่หรือไม่?”
อู๋ฝานที่เคยมีประสบการณ์อันตราย ตอนนี้จึงไม่มองอะไรมักง่ายเหมือนแต่ก่อน
แม้ชายชราจะดูจิตใจดีและมีเมตตา แต่เขาก็ยังไม่อาจเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รายงานทางการหรือขายพวกตน บุตรชายของอีกฝ่ายทำงานในกองทัพ ดังนั้นจึงทราบเรื่องราวของราชสำนัก มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้จักอูหย่า
ช่วงเวลาเช่นตอนนี้ควรระมัดระวังเอาไว้ก่อนดีกว่า โดยเฉพาะการที่อู๋ฝานไม่อาจอยู่ที่โลกแห่งเกมในตอนกลางคืนได้ เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงบอกให้ลั่วหยางคอยระมัดระวัง
“เข้าใจแล้วขอรับนายท่าน” ลั่วหยางพยักหน้ารับ
“ดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบรับ “เจ้าไปพักก่อน ข้าจะออกไปข้างนอกสักระยะ”
“นายท่านไปไหนหรือขอรับ? ให้ข้าตามไปด้วยจะดีกว่าหรือไม่?” ลั่วหยางเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงจะไปดูรอบ ๆ ว่ามีคนดักซุ่มหรือสะกดรอยตามมาจนถึงที่นี่รึเปล่า ข้าลงมือคนเดียวสะดวกกว่า” เขาตอบกลับ “ไม่ต้องรอข้า เจ้ารีบนอนเอาแรงเสีย”
“ขอรับนายท่าน ระวังด้วยนะขอรับ” ลั่วหยางตอบรับ
“อืม” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกไปตรวจสอบดังที่ว่า แต่แค่ใช้มันเป็นข้อแก้ตัวเพื่อจะได้กลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง
เพราะอู๋ฝานสามารถทราบว่าถูกสะกดรอยตามได้หรือไม่ เพราะอินทรีวายุจะคอยตรวจตราจากบนฟ้า ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้จากระยะไกลและรวดเร็ว
เรื่องที่ชายหนุ่มคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว จ้าวชิวซานยังคงไม่ยอมแพ้ กองทหารม้าอีกคณะหนึ่งเดินทางออกมาจากเมืองซิงผิงมุ่งตรงมายังเมืองผิงเป่า พวกเขายังอยู่ระหว่างทาง และแต่งกายเป็นกองโจรเหมือนดังที่เคยทำก่อนหน้านี้
‘พวกคนชั่วนี่มันชั่วได้ใจจริง ๆ จ้าวชิวซานกับจักรพรรดิคนใหม่หมายจะฆ่าอูหย่าให้ได้เลย’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
พฤติกรรมของจักรพรรดิคนใหม่ทำให้เขามองว่าตอนนี้ราชสำนักหนานปิง คงตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของจักรพรรดิคนใหม่แล้ว เพราะงั้นอีกฝ่ายถึงกล้าก่อเรื่องอย่างเอิกเกริกแบบนี้ขึ้นมา
แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นสถานการณ์ที่เขาเองก็มองว่าดีเช่นกัน เนื่องจากภารกิจถัดไปคือการช่วยให้อูหย่าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งหนานปิง หากไม่มีปัญหากับจักรพรรดิคนใหม่ ตนก็คงยากจะหาเหตุผลมาสนับสนุนและผลักดันอูหย่า เพราะต่อให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงนางก็คงไม่มีทางยอมรับ อีกทั้งข้าราชบริพารและประชาชนก็คงจะไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน
แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะดูยากลำบากไปบ้าง แต่มันก็ทำให้เขายินดีได้ในระดับหนึ่ง
ภาพเปลี่ยนแปลงไป อู๋ฝานเทเลพอร์ตจากโลกแห่งเกมไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
เมื่ออู๋ฝานนำเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยเดินทางออกไปนอกเมือง ก็ได้พบทั้งสองทีมที่มารออยู่ก่อนแล้ว โชคดีที่เขาเลือกสถานไกลห่าง ไม่งั้นคนที่สัญจรผ่านไปมาคงจะประหลาดใจกับเรื่องที่พบ เนื่องจากคนเหล่านี้แตกต่างจากคนธรรมดา ไม่ว่าจะทั้งเครื่องแต่งกายและการวางตัวล้วนแตกต่าง
“คำนับนายน้อยครับ”
เมื่ออู๋ฝานมาถึงพร้อมเหมยอวี่และเหมยเสวี่ย ผู้นำทีมทั้งสองก็ทักทายเขาพร้อมกัน
หนึ่งนั้นคือสวีอี้ซาน ส่วนอีกหนึ่งย่อมเป็นเจ้าสำนักล้ำสวรรค์อย่างซือหลิน
“ท่านคือซือหลินเจ้าสำนักล้ำสวรรค์ใช่ไหม?” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายพลางถาม
“ครับ” ซือหลินตอบรับด้วยความนอบน้อม “ผมนำกำลังคนจากสำนักล้ำสวรรค์มาสี่ร้อยห้าสิบเจ็ดคน นับจากวันนี้ไปพวกเขาจะภักดีต่อนายน้อย และจะเชื่อฟังแต่คำสั่งของนายน้อยครับ ถ้ามีการฝ่าฝืนผมจะลงกระบี่ด้วยตนเอง!”
ขณะพูดกล่าว ซือหลินก็ขยับมือออกไปจับด้ามกระบี่พร้อมเอ่ยเสียงดัง
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ “ขอให้พวกคุณภูมิใจกับการตัดสินใจในวันนี้ แล้วคุณจะได้พบว่ามันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ชาญฉลาดที่สุดแล้ว”
“ผมเชื่อตั้งแต่ก่อนจะตอบรับแล้วครับ!” ซือหลินตอบกลับ เพราะในเมื่อเลือกที่จะภักดีแล้ว เขาก็ต้องมีความเชื่อมั่นต่ออู๋ฝานจากใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่มาอยู่ที่นี่
สวีอี้ซานที่อยู่ข้าง ๆ ซือหลินพลันยิ้มให้ “ขอแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักซือ นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว หลังจากนี้คุณกับผมจะร่วมมือกันทำตามคำสั่งของนายน้อย”
หากให้บอกตามตรง สวีอี้ซานยังค่อนข้างประหลาดใจที่สำนักล้ำสวรรค์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรอย่างกะทันหัน เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นสัญญาณใด ๆ มาก่อน และเมื่อวานอู๋ฝานก็ไม่ได้เอ่ยถึงด้วยเช่นกัน
แต่พิจารณาจากสถานการณ์ เห็นได้ชัดว่ามันเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งตนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ด้วย
สวี้อี้ซานไม่ใช่คนโง่ หากไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี เขาจะเข้าใจว่าเพราะอะไรอู๋ฝานถึงระดมคนจากสำนักล้ำสวรรค์มาเข้าร่วม ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้านใด และไม่เพียงไม่คัดค้าน แต่ยังแสดงความยินดีออกมาด้วยซ้ำไป
“แน่นอนครับ พวกเราสำนักล้ำสวรรค์เป็นสำนักเล็ก ๆ คงต้องขอความกรุณาจากเจ้าวังสวีในอนาคตด้วย” ซือหลินยิ้มตอบรับให้สวีอี้ซาน
………………..