ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 668 ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
บทที่ 668 ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
จากเหตุการณ์ล้างแค้นของอู๋ฝาน บรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสจากหลากสำนักต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างกัน
“รายงานครับ!”
ขณะทุกคนกำลังพูดคุย ศิษย์คนหนึ่งจากวังเมฆาสวรรค์ก็รีบเข้ามาในโถง
“เกิดอะไรขึ้น?” ซุนจื่อหมิงผู้เป็นเจ้าวังเมฆาสวรรค์เอ่ยถาม
“เรียนเจ้าวัง ขณะนี้เจอกลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากกำลังเข้ามาใกล้ที่ตั้งสำนักของพวกเรา คาดว่าพวกนั้นจะเป็นคนของวังเมฆาสีชาดและสำนักล้ำสวรรค์ครับ” ศิษย์คนนั้นรายงานออกมา
“ว่าอะไรนะ? มาใกล้ที่ตั้งสำนักของพวกเราแล้ว? เร็วขนาดนี้เชียว? แล้วสำนักล้ำสวรรค์เข้าไปเกี่ยวข้องกับอู๋ฝานตั้งแต่เมื่อไหร่?” ซุนจื่อหมิงที่ได้ยินถึงกับตื่นตกใจ
“เป็นไปไม่ได้! เมื่อวานตอนพวกเรามาที่นี่ก็คอยระมัดระวังและเก็บร่องรอยดีแล้ว พวกมันมาถึงที่นี่รวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?”
“หรือมีใครปล่อยข้อมูลที่อยู่ของพวกเราออกไป?”
เมื่อกลุ่มคนจากหลายสำนักได้ยินรายงานจากศิษย์วังเมฆาสวรรค์ พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันออกมา
สำนักเหล่านี้ที่มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ดักโจมตีอู๋ฝาน ได้มีการติดต่อกันอย่างเร่งด่วนหลังทราบเรื่องสำนักตะวันเพ็จและสำนักทะยานสวรรค์ถูกบุกทำลาย ทางด้านโลกภายนอกก็ทราบเช่นเดียวกัน แต่ตอนนั้นเป็นการติดต่อผ่านโทรศัพท์ทั้งหมด เพื่อเป็นการจงใจปล่อยข่าวหวังกดดันอู๋ฝาน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้ประกาศคือสถานที่สำหรับใช้รวมตัว แม้แต่ตอนที่รีบเดินทางมายังวังเมฆาสวรรค์ พวกเขาก็ยังกลบเกลื่อนร่องรอยเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วด้วยซ้ำ เพราะตอนที่พวกเขาตัดสินใจสู้ตาย ก็เลือกที่จะช่วงชิงความได้เปรียบในการโจมตีก่อนเอาไว้ เพื่อรอคอยจนถึงช่วงเวลาที่อู๋ฝานไม่ทันระวังตัว
ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขายังไม่ทันตัดสินใจด้วยซ้ำว่าจะสู้หรือไม่สู้ แต่ก็พบว่าพวกอู๋ฝานมาเยือนถึงหน้าประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว
การมาถึงของวังเมฆาสีชาด มันหมายความว่าอู๋ฝานมาที่นี่แล้ว ตอนนี้ทุกคนในแวดวงผู้ฝึกตนของเจียงโจวทราบดีว่าวังเมฆาสีชาดคือมือเท้าของชายหนุ่ม เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่คาดคิด คือการที่สำนักชั้นสองเช่นสำนักล้ำสวรรค์จะถึงกับเข้ามาร่วมมีส่วนร่วมด้วย
สำนักล้ำสวรรค์เป็นเพียงสำนักชั้นสองในเจียงโจว หากนำมาเทียบกับสำนักชั้นหนึ่งเช่นพวกเขาก็ยังมีความแตกต่างอันยิ่งใหญ่อยู่ ดังนั้นการเข้าร่วมของสำนักล้ำสวรรค์ นอกจากจะทำให้พวกเขามีโทสะแล้วก็ไม่ได้รับรู้ถึงแรงกดดันอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่มองว่าเกินคาดไปบ้างเท่านั้น
“ทุกคน อู๋ฝานมากันแล้ว ตอนนี้ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะสู้หรือไม่สู้” ซุนจื่อหมิงผู้เป็นเจ้าวังเมฆาสวรรค์เอ่ยถามขณะมองกลุ่มคน
“สู้!”
“พวกเราสู้ไม่ไหว! อู๋ฝานบุกมาเร็วเกินไป พวกเรายังไม่พร้อม!”
“ลองเจรจากับอู๋ฝานดูก่อนเป็นไง? บางทีมันอาจไม่ได้ต้องการสู้กับพวกเราก็ได้”
ทุกคนต่างแสดงความเห็น แต่ก็เหมือนก่อนหน้า พวกเขายังมีความเห็นต่างที่ไม่อาจหาข้อสรุป เนื่องจากประกอบด้วยคนมากมายหลายสำนัก และทุกคนต่างก็มีความคิดกับแผนการเป็นของตนเอง
“ทุกท่านสงบลงด้วย” ซุนจื่อหมิงเอ่ยเสียงดังขึ้นมา “อู๋ฝานบุกมาใกล้ที่ตั้งของวังเมฆาสวรรค์แล้ว ไม่ว่าพวกเราจะสู้หรือไม่ ก่อนอื่นก็ต้องเรียกรวมเหล่าศิษย์เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ซะก่อน”
“จริงด้วย” ในประเด็นนี้ไม่มีใครเห็นต่าง ไม่ว่าพวกเขาจะสู้หรือไม่สู้ แต่อย่างน้อยก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
แต่ละสำนักต่างส่งผู้อาวุโสคนหนึ่งออกไปรวบรวมศิษย์ ขณะที่คนอื่นยังคงอยู่ในโถงเพื่อหารือกันต่อไป
“ฉันมองว่าพวกเราควรพูดคุยกับอู๋ฝานก่อน” ซุนจื่อหมิงเสนอความเห็น
“เจ้าวังซุนหวาดเกรงอู๋ฝานงั้นเหรอ?” เจ้าสำนักอีกคนที่ยืนยันให้ตอบโต้เอ่ยอย่างเดียดฉันท์
“กลัว? ฉันคนนี้ที่เป็นเจ้าวังมาหลายสิบปียังต้องกลัวคนหนุ่มคนหนึ่งงั้นเหรอ?” ซุนจื่อหมิงเอ่ยถาม
“งั้นจะพูดคุยกับมันไปทำไม แค่สู้ก็จบแล้ว!”
“ตอนนี้พวกเรายังไม่พร้อม อีกทั้งเมื่อวานอู๋ฝานและวังเมฆาสีชาดยังทำลายสองสำนักใหญ่ได้สำเร็จ ขวัญกำลังใจของพวกมันกำลังพุ่งไปสู่จุดสูงสุด ถ้าพวกเราสู้คงยากจะเอาชนะ หรือต่อให้ชนะก็ทำให้พวกเราบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก” ซุนจื่อหมิงตอบกลับ “ตอนที่ฉันขอเจรจากับอู๋ฝาน ฉันจะถือโอกาสทำให้มันลดความระมัดระวังลง พวกเราต้องรอจนกว่าการเตรียมการภายในจะเสร็จสิ้นแล้วถึงค่อยลงมือ ตอนที่มันไม่พร้อมแต่พวกเราพร้อม นั่นแหละคือโอกาสที่จะเอาชนะมันได้อย่างไม่ยากเย็น”
“อู๋ฝานมันจะยอมตกลงอะไรด้วยรึไง? มันพาคนบุกมาถึงหน้าบ้านแล้ว!”
“ก็ใช่!” ซุนจื่อหมิงตอบกลับ “แม้ตอนนี้พวกมันจะมีขวัญกำลังใจเทียมฟ้า แต่เพราะเพิ่งสู้ศึกกับสองสำนักไปเมื่อวาน ศิษย์ส่วนใหญ่เลยยังคงหมดเรี่ยวแรง คนที่เสียชีวิตก็คงมีไม่น้อย ขณะที่พวกเราซึ่งรวมตัวกันมีจำนวนมากกว่า พวกเราจะใช้จำนวนเป็นแรงกดดัน ระหว่างการเจรจา พวกเราจะรับปากมอบผลประโยชน์อะไรสักอย่างกับมันเพื่อหลอกให้ตายใจ เช่นยกตำแหน่งผู้นำสูงสุดในเจียงโจวให้ จากนั้นพวกเราก็จะยอมเชื่อฟังมันหรืออะไรทำนองนั้น เมื่อไหร่ที่มันพอใจจนไม่คิดสู้ ตอนนั้นคือโอกาสของพวกเรา”
กลุ่มคนในที่นี้ต่างพยักหน้ารับ พวกเขาเห็นพ้องว่าแผนการของซุนจื่อหมิงดูเข้าท่า
“ฉันเห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าวังซุนให้แกล้งยอมจำนน”
“ฉันก็เห็นด้วย”
“เป็นแนวคิดที่ดี อู๋ฝานยังเด็กเลยมีความทะเยอทะยาน พอเห็นพวกเรายอมจำนนคงยิ้มแก้มบานตอบรับ สุดท้ายพอมันประมาท ตอนนั้นคือโอกาสให้พวกเราปลิดชีพมัน!”
บรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสต่างก็เห็นพ้องต้องกัน
“ตกลงตามนี้ ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านก็ถือว่าทำตามแผนนี้กัน” ซุนจื่อหมิงลุกขึ้นพร้อมเอ่ยคำ “ทุกท่าน…”
“อั๊ก!”
ซุนจื่อหมิงที่หมายจะเอ่ยคำปราศรัยก่อนลงมือกลับไม่อาจเปล่งเสียงต่อได้
ขณะนี้เองที่ผู้อื่นในโถงประชุมได้พบว่ามีกระบี่คมกล้าแทงทะลุออกมาจากท้องของซุนจื่อหมิง เลือดจากช่องท้องกำลังไหลออกมายังปลายกระบี่ ก่อนจะหยดลงบนพื้นไม่ขาดสาย
เห็นได้ชัดว่าซุนจื่อหมิงถูกแทงจากด้านหลัง!
หลังกระบี่ถูกถอนกลับ ก็ได้เห็นร่างคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากหลังเก้าอี้ของซุนจื่อหมิง
อู๋ฝาน!
เมื่อกลุ่มคนเห็นว่าผู้ลงมือเป็นใคร พวกเขาถึงกับต้องตื่นตระหนก
ทำไมอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้?
อีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทุกคนไม่อาจทราบว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงปรากฏตัวอย่างกะทันหัน กระทั่งลอบแทงกระบี่ใส่ร่างซุนจื่อหมิงอย่างเงียบงัน
“อ้าว ทำไมเงียบกันแบบนี้ล่ะ? เมื่อกี้ยังประชุมกันอย่างจริงจังอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” เขาเผยยิ้มออกมา “หรือที่ฉันมาเป็นการรบกวน? นึกว่าอยากเจอกันซะอีก”
“อู๋… อู๋ฝาน นี่แกมาทำอะไรที่นี่?” ผู้อาวุโสสำนักหนึ่งเอ่ยถาม สีหน้าแตกตื่นของเขายังคงแสดงออกและยังไม่เลือนหาย
“ฉัน? ก็มาเพื่อฆ่าล้างบางยังไงล่ะ” อู๋ฝานตอบด้วยอาการอันสงบ
สิ้นคำกล่าว ชายหนุ่มก็ขยับข้อมือขวาส่งกระบี่ไปด้านหลัง เพื่อแทงใส่ร่างของซุนจื่อหมิงที่ได้รับบาดเจ็บซ้ำอีกครั้ง
“ก็เห็นอยากจะฆ่ากันให้ได้ไม่ใช่รึไง?” อู๋ฝานถอนกระบี่คืน ซุนจื่อหมิงแน่นิ่งกับพื้น ท่าทีมีกำลังวังชาเปี่ยมล้นเมื่อครู่ ขณะนี้มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างและตายไปอย่างไม่ยินยอม
“ฉันมาที่นี่แล้วไง ถ้าอยากฆ่าก็เข้ามากันสิ” เขายังคงพูดต่อ
คนอื่นไม่ตอบคำใด ๆ สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง
พวกเขาทราบดีว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงมาปรากฏตัวที่นี่ การที่ผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ถามก็เพราะแตกตื่นและไม่คาดคิด ว่าจะได้พบอู๋ฝานกลางห้องประชุมที่พวกเขากำลังหารือแผนการ
………………..