ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 673 มีคนอยากฉวยโอกาส
บทที่ 673 มีคนอยากฉวยโอกาส
ขณะอู๋ฝานและกลุ่มคนจากวังเมฆาสีชาดกับสำนักล้ำสวรรค์มาถึงนอกเมืองเจียงโจวแล้ว และพวกเขากำลังเตรียมจะแยกย้าย แต่ขณะนี้เองเขาได้รับสายโทรเข้าที่ชวนประหลาดใจ
คนที่โทรมาคือหลิวอวี่กวง
“นายน้อยหลิว สินค้าหมดอีกแล้วเหรอครับ? ถ้าแบบนั้นก็น่าจะติดต่อทางโรงงานโดยตรงนะครับ เพราะทางคุณก็น่าจะคุ้นเคยกับคนของโรงงานอยู่แล้ว” ชายหนุ่มรับสายพร้อมพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ช่วงที่ผ่านมานี้หลิวอวี่กวงค่อนข้างยุ่งกับการเป็นตัวแทนจำหน่ายสุดเหนือเมฆ ปริมาณการขายในเจียงโจวกำลังเติบโตขึ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากเจียงโจวเป็นเมืองที่มีกำลังซื้อ ดังนั้นแม้อู๋ฝานจะมอบการสนับสนุนครั้งใหญ่ให้แล้ว สินค้าในสต็อกของหลิวอวี่กวงก็มักจะขาดแคลนอยู่บ่อย ๆ
“นายน้อยอู๋ ผมโทรมาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องสินค้าครับ” หลิวอวี่กวงตอบกลับ “พ่อของผมขอให้โทรแจ้งนายน้อยอู๋ครับ”
“เรื่องอะไรกันครับ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของอู๋ฝานเริ่มจางหายไป
“วังเมฆาสวรรค์กำลังจะถูกสำนักสวรรค์คำรนบุกโจมตี สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีนัก พวกเขาอยากจะติดต่อหานายน้อยอู๋เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขาไม่ทราบช่องทางติดต่อ ดังนั้นจึงขอมาทางพ่อของผม เพราะพ่อของผมรู้ว่าพวกเราสนิทกันผ่านทางการค้า เลยฝากผมโทรหานายน้อยอู๋อีกทีหนึ่งครับ” หลิวอวี่กวงตอบกลับ “แน่นอนว่าผมเป็นแค่คนส่งข้อความ ส่วนนายน้อยอู๋จะตัดสินใจยังไงก็ตามแต่สะดวกนะครับ”
“ใช่ครับ” หลิวอวี่กวงตอบรับโดยไม่ปิดบัง
แท้จริงแล้วสำนักที่อยู่เบื้องหลังห้าตระกูลใหญ่ของเจียงโจวไม่ใช่ความลับอะไร แต่ก่อนหน้านี้อู๋ฝานไม่สนใจอยากจะทราบก็เท่านั้นเอง
“แล้วรู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างผมกับวังเมฆาสวรรค์รึเปล่าครับ?” เขาเอ่ยถาม
“ข้อพิพาท? มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ?” หลิวอวี่กวงตอบกลับด้วยความงุนงง “พวกคุณมีข้อพิพาทกันเหรอครับ? งั้นผมจะกลับไปบอกให้พ่อทราบอีกทีหนึ่งนะครับ”
อู๋ฝานทราบจากคำพูดของหลิวอวี่กวงว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทราบเรื่องการดักซุ่มโจมตีนอกเมืองเมื่อคืนก่อน รวมทั้งไม่ทราบด้วยว่าวังเมฆาสวรรค์มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจ เนื่องจากมันเป็นการตัดสินใจของสำนักเบื้องหลังห้าตระกูลใหญ่ ไม่ใช่ห้าตระกูลใหญ่เอง พวกเขาที่วางตัวสูงส่ง มีหรือจะไปขอความเห็นหรือบอกแผนการกับคนของโลกเบื้องหน้าที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร?
ดังนั้นคนจากตระกูลใหญ่ในเจียงโจวจึงไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับ ให้พ่อของคุณแจ้งวังเมฆาสวรรค์ว่าผมจะไปเดี๋ยวนี้” อู๋ฝานตอบกลับ
“ครับ” แม้หลิวอวี่กวงจะค่อนข้างสงสัยเรื่องนี้ แต่ในเมื่ออู๋ฝานตัดสินใจแล้ว เขาย่อมไม่สอบถามอะไรมากเกินความจำเป็นอีก
หลังวางสาย ชายหนุ่มก็หันไปมองสวีอี้ซานและซือหลิน “เหมือนพวกเราจะยังแยกย้ายกลับกันไม่ได้นะครับ”
“มีคนอยากจะชุบมือเปิบน่ะ!” เขาเผยประกายคมกล้าในดวงตา “ในเมื่อกล้าถูกความโลภบังตากันขนาดนี้ ก็คงต้องแสดงอำนาจให้ได้เห็นบ้างแล้ว!”
ทั้งสวีอี้ซานและซือหลินที่ได้ยินคำบอกเล่าไม่ยาวเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสจากการที่วังเมฆาสวรรค์และพันธมิตรเจ็บช้ำจากอู๋ฝาน เพื่อช่วงชิงเข้ายึดครองสำนักเหล่านั้น มันคือการฉวยโอกาสอย่างแท้จริง
“น่าเวทนา พวกเราให้เวลาแล้ว แต่สุดท้ายกลับมีคนอื่นคิดคาบเอาไปกินซะได้!” สวีอี้ซานตอบรับ
“ไม่เป็นไรครับ ถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้เป็นเหตุผลในการตอบโต้และยึดสำนักอื่นด้วยเลย พวกมันมอบเหตุผลให้พวกเรากันเองนิ” อู๋ฝานไม่ได้โกรธเกรี้ยวเหมือนสวีอี้ซาน เพราะเขากำลังรู้สึกว่าน่ายินดี
เขาสามารถลงมือจัดการกับสำนักตะวันเพ็จและวังเมฆาสวรรค์ได้ ก็เพราะอีกฝ่ายโจมตีเล่นงานตนเองก่อน มันคือการล้างแค้นอันชอบธรรม แต่การจะหาเรื่องสำนักสวรรค์คำรนจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดักซุ่มโจมตีดังกล่าว
หากอู๋ฝานต้องการรวมทุกสำนักในเจียงโจวเป็นหนึ่ง เขาก็ต้องเตรียมจัดการกับทุกสำนัก ก่อนหน้านี้ตนยังคิดว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรดีเพื่อลงมือ เพราะหากไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรม การที่จะบุกตีบ้านของคนอื่นจะทำให้เกิดเสียงต่อต้าน จนสุดท้ายการรวบรวมสำนักใหญ่ในเจียงโจวจะเป็นเรื่องยาก และถ้าเกิดการต่อต้าน ต่อให้รวบรวมได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งโดยรวมของแวดวงผู้ฝึกตนในเจียงโจวก็จะลดทอนลงไปอย่างมหาศาล
ทว่าขณะนี้กลับได้ข้ออ้างดี ๆ แล้ว สำนักสวรรค์คำรนและสำนักอื่น ๆ เป็นฝ่ายยื่นเหตุผลอันชอบธรรมให้เขาตอบโต้ การที่ตนจะตอบรับด้วยความยินดีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
สวีอี้ซานและซือหลินต่างมองหน้ากันเอง พวกเขารู้สึกขึ้นมาว่าการที่อู๋ฝานมอบเวลาให้วังเมฆาสวรรค์และพันธมิตรได้ครุ่นคิด แทนที่จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนด้วยใจที่พร้อม แต่มันคล้ายจะมีอีกเหตุผลหนึ่ง เช่นการล่อลวงให้สำนักอื่นลงมือจนเป็นข้ออ้างในการตอบโต้กลับ
“เอาละ พวกเราย้อนกลับไปกันดีกว่า น่าจะต้องเร่งความเร็วกันสักหน่อยด้วย ผมยังไม่อยากเห็นว่าทันทีที่ไปถึงวังเมฆาสวรรค์พินาศแล้ว” อู๋ฝานบอกกับสวีอี้ซานและซือหลิน
“ครับนายน้อย” คนทั้งสองต่างตอบรับโดยพร้อมกัน
จากนั้นพวกเขาก็หันไปตะโกนบอกคนของตนเอง “ทุกคนเตรียมความพร้อม จุดหมายปลายทางคือวังเมฆาสวรรค์ ออกเดินทางได้!”
หลังรับคำสั่ง เหล่าศิษย์จากสองสำนักจึงพร้อมเดินทางไปยังที่ตั้งวังเมฆาสวรรค์กันอีกครั้งด้วยความเร็วสูงสุด
ณ ที่ตั้งวังเมฆาสวรรค์ โม่หู่กำลังนำเหล่าศิษย์ของวังเมฆาสวรรค์เพื่อเตรียมยึดชัยภูมิสำหรับต้านรับ
เจ้าวังและผู้อาวุโสของวังเมฆาสวรรค์ถูกอู๋ฝานฆ่าตายจนหมดสิ้น ทั้งวังเมฆาสวรรค์เหลือผู้อาวุโสเช่นโม่หู่เพียงคนเดียว เขาที่รอดชีวิตมาได้จึงต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าวังชั่วคราว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อู๋ฝานถอนกำลังคนจากวังเมฆาสีชาดและสำนักล้ำสวรรค์กลับไป คนจากสำนักอื่น ๆ ที่มารวมตัวกันต่างก็แยกย้าย พร้อมนำพาร่างของเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสกลับสำนักของตนเอง พวกเขายังต้องจัดทำพิธีศพให้เรียบร้อย และแน่นอนว่ายังต้องพิจารณาถึงทางเลือกที่อู๋ฝานมอบให้ด้วยเช่นเดียวกัน
หลังพันธมิตรจากไป โม่หู่ก็สั่งคนของวังเมฆาสวรรค์เก็บกวาดความวุ่นวาย แต่ก็ไม่คาดเช่นกันว่าเป็นตอนนี้เองที่คนของสำนักสวรรค์คำรนบุกมาเยือนถึงหน้าประตู สำนักทั้งสองเคยมีข้อพิพาทกัน เพียงแต่มันเป็นปัญหาเล็กน้อยที่สะสมมานาน เรื่องเช่นการบุกมาเผด็จศึกถึงฐานที่มั่นเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หลังกลุ่มคนจากสำนักสวรรค์คำรนมาถึง พวกเขาก็ลงมือโดยไม่พูดให้มากความอะไร วังเมฆาสวรรค์เพิ่งเสียหายอย่างหนัก การสูญเสียของยอดฝีมือในสำนักทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าศิษย์ดิ่งลด อีกทั้งไม่ได้คาดคิดหรือระวังว่าจะมีคนของสำนักสวรรค์คำรนบุกมาในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังเสียเปรียบอย่างถึงที่สุด โชคดีที่ตรงนี้คือชัยภูมิของวังเมฆาสวรรค์ พวกเขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศและสามารถใช้งานมันเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการตั้งรับได้เป็นอย่างดี
แต่โม่หู่ทราบดีว่าความได้เปรียบดังกล่าวจะดำรงอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากปัจจุบันระหว่างสองสำนักมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเกินไป อีกฝ่ายมียอดฝีมือมากกว่า ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าแนวป้องกันจะพังทลายลงเมื่อใด และเมื่อถึงเวลานั้น อีกฝ่ายมีเหรอจะรออะไรอีก? เพราะความสัมพันธ์ในอดีตเลวร้าย จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่สำนักสวรรค์คำรนจะล้างบางสังหารวังเมฆาสวรรค์
ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นตอนนี้ โม่หู่ผู้ไร้ที่พึ่งพิงจึงนึกถึงอู๋ฝานขึ้นมา!