ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 677 ปิดล้อมสังหาร
บทที่ 677 ปิดล้อมสังหาร
แม้หลิวจื่อหาวจะหวาดเกรงความแข็งแกร่งของอู๋ฝาน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่แค่เจอสถานการณ์เสียเปรียบแล้วจะยอมสวามิภักดิ์ ตอนที่ชายหนุ่มสั่งคนของวังเมฆาสีชาดและสำนักล้ำสวรรค์บุก เขาก็ไม่คิดทั้งการยอมจำนนหรือร้องขอความเมตตาแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสหลี่ นำคนไปคุ้มกันทางด้านซ้าย”
“ผู้อาวุโสจ้าว นำคนไปคุ้มกันทางด้านขวา”
“ผู้อาวุโสหวัง คอยระวังคนของวังเมฆาสวรรค์ทางด้านหลัง”
“ถึงพวกมันจะมีมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีโอกาสชนะ!”
หลิวจื่อหาวบัญชาการเหล่าผู้อาวุโสด้วยท่าทีสงบนิ่ง
กำลังรบหลักของอู๋ฝานคือวังเมฆาสีชาดและสำนักล้ำสวรรค์ แน่นอนว่าอาจรวมคนของวังเมฆาสวรรค์ด้วย
หลังเรื่องราวที่เกิดขึ้น วังเมฆาสีชาดและวังเมฆาสวรรค์ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในอดีตอีกต่อไป สำนักล้ำสวรรค์เองก็เป็นเพียงสำนักชั้นสอง หากเทียบกับสำนักชั้นหนึ่งยังถือว่ามีความแตกต่างอยู่ ดังนั้นแม้จะเสียเปรียบในเชิงจำนวน แต่หลิวจื่อหาวก็ยังมองว่าตนเองมีโอกาสชนะ
“อู๋ฝาน ให้ฉันคนนี้รับรู้ถึงบทเรียนที่กล้าแข็งขืนกับคนอย่างแกหน่อยเป็นไง!” หลิวจื่อหาวจ้องอู๋ฝานพร้อมตะโกนเสียงดังออกมา
ฆ่า!
ภายใต้คำสั่งการของอู๋ฝาน สวีอี้ซานและซือหลินนำกำลังคนของตนเองเข้าเปิดฉากห้ำหั่นกับสำนักสวรรค์คำรน โม่หู่เองก็ไม่มีความลังเล เขานำคนของวังเมฆาสวรรค์เข้าร่วมศึกด้วย เพื่อทำการปิดล้อมและหมายจะสังหารศัตรูคู่อาฆาตยาวนานให้จบสิ้น
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเปิดศึกประชิดกัน
อู๋ฝานไม่ลงมือ เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ ดูเรื่องราว ตอนที่หลิวจื่อหาวเห็นดังนั้น เขาจึงบุกตรงเข้าหาหมายจะลงมือปลิดชีพ
“เกือบจะได้เวลาแล้วสินะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองขณะมองหลิวจื่อหาวที่บุกเข้ามาใกล้
เมื่อกี้ตอนที่เขาชวนหลิวจื่อหาวพูดคุยไร้สาระ มันก็เพื่อเป็นการถ่วงเวลาและรอให้ระยะคูลดาวน์ของป้ายอัญเชิญครบกำหนด แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่ใช้งานป้ายอัญเชิญ อู๋ฝานรวมกับกำลังของสามสำนักก็สามารถเอาชนะสำนักสวรรค์คำรนได้ แต่อาจจะต้องเผชิญกับความสูญเสียหนักหนาไปบ้างเท่านั้น ทว่าสำนักทั้งสามเพิ่งจะเลือกเข้าร่วมได้ไม่นาน หากปล่อยให้เกิดความเสียหายเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อใจของเหล่าศิษย์เอาได้
ดังนั้นป้ายอัญเชิญจึงยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้งาน ในเมื่อมีของดีให้ใช้งาน หากไม่ใช้ก็ถือว่าสูญเปล่าแล้ว
“อู๋ฝาน ตายซะ!” หลิวจื่อหาวทะยานเข้าหาชายหนุ่มจนถึงตรงหน้า ฝ่ามือขวาขยับหมายจะกระแทกเข้าใส่ มันเป็นฝ่ามืออันแข็งแกร่งที่มาพร้อมสายลมกระโชกอย่างรุนแรง เป้าหมายนั้นคือหน้าอกของชายหนุ่ม
ฝ่ามือทลายหทัย!
หลิวจื่อหาวฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวมานานหลายปี ฝ่ามือนี้เขาได้ขัดเกลามันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสมบูรณ์แบบ ความแข็งแกร่งถือว่าเป็นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว มันถึงขนาดสามารถผ่าก้อนหินและก้อนอิฐได้โดยแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำไป
แม้ข่าวลือกล่าวว่าอู๋ฝานแข็งแกร่ง แต่หลิวจื่อหาวก็เชื่อว่าตราบใดที่อีกฝ่ายรับฝ่ามือของตนเองสักครั้ง หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
ทว่าตอนที่หลิวจื่อหาวบุกจนระยะหดแคบเหลือราวสามเมตร กลุ่มคนในชุดเกราะพร้อมผ้าคลุมสีเงินพลันปรากฏตัวรายล้อมชายหนุ่มเอาไว้ พวกเขาเหล่านี้มีอาวุธเป็นหอกยาว สายตาที่จ้องมองมานั้นทำให้ผู้ที่ถูกมองรู้สึกเย็นยะเยือกถึงไขสันหลัง
“ฆ่า!”
กลุ่มคนตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน หอกยาวในมือของพวกเขาแทงใส่ร่างหลิวจื่อหาวโดยไม่ลังเล หลิวจื่อหาวแตกตื่นและร้อนรน เขาไม่อาจสนใจเรื่องการฆ่าอู๋ฝานได้อีกต่อไป ขณะนี้เขารีบถอนมือกลับและถอยทัพ
กลุ่มนักรบในชุดเกราะสีเงินรุกไล่ตามเล่นงานอย่างต่อเนื่องจนปิดล้อมหลิวจื่อหาวเอาไว้ได้
‘ข่าวลือที่บอกว่าอู๋ฝานซ่อนยอดฝีมือที่สามารถปรากฏตัวและหายตัวตามใจนึกนี่เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอเนี่ย?’ หลิวจื่อหาวสบถอยู่ในใจ ขณะพยายามต้านรับการโจมตีของกลุ่มนักรบในชุดเกราะสีเงิน
ทว่าตอนนี้เขาเจอกับตาตนเอง มีกลุ่มยอดฝีมือซึ่งสามารถปรากฏตัวอย่างกะทันหันอยู่รอบกายอู๋ฝานจริง ๆ หลิวจื่อหาวได้ยืนยันแล้วว่าเรื่องยอดฝีมือเหล่านั้นเป็นความจริง
ทหารราชสำนักที่อู๋ฝานอัญเชิญมาได้รับบัฟจากธงรบสีแดงและธงรบสีเทา ความแข็งแกร่งของพวกมันคือขอบเขตแปรสภาพขั้นต้น ต่อให้หลิวจื่อหาวเป็นขอบเขตแปรสภาพขั้นกลาง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับวงล้อมยอดฝีมือขอบเขตแปรสภาพขั้นต้นถึงยี่สิบคน ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนไม่อาจตอบโต้ได้
‘ยอดฝีมือมากมายขนาดนี้อยู่ข้างกายอู๋ฝานได้ยังไง? มันเป็นใครกันแน่?’ หลิวจื่อหาวครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความหวาดกลัว
“ฟิ้ว!”
“ฉึก!”
เพียงหลิวจื่อหาวเสียสมาธิครู่หนึ่งเพราะอาการตื่นตระหนกและตกใจ ลูกธนูก็พลันแหวกผ่านอากาศเข้าไปปักที่ช่องท้องของเขา
เพราะความเจ็บปวด หลิวจื่อหาวจึงพยายามเกร็งช่องท้องเอาไว้ ร่างกายของเขาโค้งโก่งงอ การเคลื่อนไหวของมือและเท้าจึงเชื่องช้าลงไปหลายส่วน
ปัจจุบันหลิวจื่อหาวกำลังถูกยอดฝีมือขอบเขตแปรสภาพขั้นต้นถึงยี่สิบคนปิดล้อมเล่นงาน ทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์การสู้รบสูงล้ำ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว ต่อให้เขาแข็งแกร่งกว่านี้ก็มีชะตาที่จะต้องเพลี่ยงพล้ำเท่านั้น
“สวบ!”
หลังหอกทั้งหมดถูกถอนกลับคืน ร่างของหลิวจื่อหาวจึงล้มลงกระแทกกับพื้น พร้อมเลือดในร่างที่ไหลเจิ่งนองออกมา
อู๋ฝานเดินเข้าหาหลิวจื่อหาวก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเฉยชา ตอนนั้นหลิวจื่อหาวเองก็มองตอบเช่นกัน องศาที่หันมองนั้นคือการเงยขึ้น ภาพของอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจึงประหนึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า
บางทีเขาไม่ควรตั้งตัวเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายตั้งแต่แรก
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในห้วงจิตสำนึกของหลิวจื่อหาว และมันก็เป็นความคิดสุดท้ายของชีวิตด้วยเช่นกัน
หลังหลิวจื่อหาวตาย กลุ่มทหารราชสำนักจึงเข้าร่วมสมรภูมิสู้รบ เพื่อปิดล้อมเล่นงานเหล่าผู้อาวุโสสำนักสวรรค์คำรน สถานการณ์ในปัจจุบันยิ่งเผยจุดจบกระจ่างชัดมากขึ้น สำนักสวรรค์คำรนที่ต่อสู้เพียงลำพังย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เหล่าผู้อาวุโสถูกฆ่าคนแล้วคนเล่า แม้จะมีบางส่วนอ้อนวอนขอยอมจำนน แต่อู๋ฝานไม่มอบโอกาสเหล่านั้นให้
ศึกจบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักสวรรค์คำรนถูกสังหารหมดสิ้น ศิษย์เสียชีวิตไปบ้างบางส่วน และส่วนที่ยังเหลือต่างยอมจำนน เมื่อสถานการณ์กระจ่างชัดถึงขนาดนี้ย่อมไม่มีใครอยากตาย โดยเฉพาะตอนที่ความตายอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะยอมสู้จนตัวตาย
“เก็บกวาดพื้นที่ พวกเรายังต้องไปอีกที่หนึ่ง” อู๋ฝานบอกกับสวีอี้ซานและคณะ “วันนี้คงต้องวุ่นวายกันหน่อย”
“ครับ!” สวีอี้ซานและคณะตอบรับอย่างรวดเร็ว