ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 679 ออกจากเมืองยังไง
บทที่ 679 ออกจากเมืองยังไง
กู่อวิ๋นทราบดีว่าเพราะอะไรทุกคนถึงมีท่าทีเห็นพ้องต้องกันแบบนี้
ประการแรก เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่อู๋ฝานแสดงออกมาให้เห็น มันแข็งแกร่งเกินกว่าที่สำนักอสนีบาตสวรรค์ของพวกเขาจะรับได้ไหว
ประการที่สอง คือการที่เจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสของสำนักที่ต่อกรกับอู๋ฝานถูกฆ่าตายจนหมด เขามอบความเมตตาให้เพียงเหล่าศิษย์เท่านั้น แต่กับเบื้องบนของสำนัก อีกฝ่ายได้ทำการสังหารโดยไร้ความเมตตาปรานี
ทุกคนต่างหวาดกลัวกันถ้วนหน้า
กู่อวิ๋นเองก็หวาดกลัวเช่นเดียวกัน
จากพฤติกรรมการลงมือของอู๋ฝาน เจ้าสำนักทั้งหมดที่ไม่ยอมภักดีจะถูกฆ่า และจะเหลือผู้อาวุโสเอาไว้เพียงหนึ่งหรือสองคนเพื่อใช้เป็นที่รวมใจของศิษย์ในสำนัก ดังนั้นหากสำนักอสนีบาตสวรรค์คิดต่อสู้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะประสบชะตากรรมเดียวกับสำนักอื่น
อีกฝ่ายฆ่าเจ้าสำนักไปมากมาย ทั้งหมดเป็นขอบเขตแปรสภาพขึ้นไปทั้งสิ้นกว่าสิบคน ดังนั้นกู่อวิ๋นจึงรู้สึกว่าด้วยกำลังของตนเอง เขาไม่สามารถเทียบเคียงกับอีกฝ่าย
เมื่อคิดได้ดังนั้นกู่อวิ๋นจึงบอกกับทุกคน “ในเมื่อทุกคนคิดกันดีแล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นอันตัดสินใจ พรุ่งนี้ฉันจะไปพบอู๋ฝานด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจว่าพวกเราพร้อมจะสวามิภักดิ์”
เพียงเอ่ยจบกู่อวิ๋นก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้นมา แม้จะเลือกหนทางนี้เพราะความปลอดภัยต่อชีวิตตนเอง และทางเลือกนี้ดูจะดีที่สุดแล้ว แต่การที่ผู้นำสำนักคนหนึ่งจะส่งกระบี่อันคมกล้าของตนเองให้กับมือของอีกฝ่าย มันก็ยังเป็นเรื่องชวนใจหาย
เพียงแต่ผู้ที่คิดเช่นนั้นและไม่ตอบรับได้จากโลกนี้ไปหมดแล้ว ดังนั้นกู่อวิ๋นจึงจำเป็นต้องเปิดใจยอมรับ
หลังเห็นกู่อวิ๋นตัดสินใจได้แล้ว ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็โล่งอก ตอนนี้พวกเขาไม่มีใจจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับอู๋ฝาน ก่อนหน้านี้อาจจะคิดเรื่องช่วงชิงโอกาสชุบมือเปิบ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้อีกฝ่ายขยายอำนาจไปมากกว่านี้ ทว่าตอนนี้ความคิดเหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องขำขัน ซ้ำร้ายยังดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจปล่อยให้พวกเขาลงมือแต่แรกเพื่ออาศัยเป็นข้ออ้างใช้ตอบโต้ด้วยซ้ำไป
อู๋ฝานไม่ทราบสถานการณ์ทางฝั่งสำนักอสนีบาตสวรรค์แต่อย่างใด หลังแยกกับสวีอี้ซานและคณะแล้ว เขาก็มุ่งหน้าเดินทางกลับบ้าน เมื่อเวลามาถึงก็พบว่าเกินเที่ยงคืนไปแล้ว เขาเอ่ยบอกกับเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลับห้องตัวเองเพื่อเทเลพอร์ตสู่โลกแห่งเกม
“ลั่วหยาง นี่เจ้าคอยเฝ้านายท่านยังไงกันแน่ นายท่านออกไปยามค่ำคืนจนตอนนี้ยังไม่กลับมา หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านจะทำอย่างไร!?”
อู๋ฝานเพิ่งเทเลพอร์ตกลับมาที่บริเวณภายนอกบ้านซึ่งใช้พักค้างแรมเมื่อคืน ขณะนี้ได้ยินเสียงลั่วเยวี่ยกำลังต่อว่าลั่วหยาง
“ข้า… ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้นิ เมื่อคืนนายท่านบอกว่าจะออกไปเดินตรวจตราและบอกให้ข้านอนก่อน ข้าเองก็อยากจะรอจนนายท่านกลับมา แต่สุดท้ายเพราะเหนื่อยล้าเกินไปเลยเผลอหลับ” ลั่วหยางกล่าวโทษตนเอง
“นายท่านออกไปข้างนอก แต่เจ้าหลับก่อนได้ยังไง สิ่งที่เจ้าควรทำคือไปกับนายท่าน!” ลั่วเยวี่ยยังคงต่อว่า
“ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรายังไม่ปลอดภัย อู๋ฝานออกไปคนเดียวทั้งคืนจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็เป็นได้ พวกเราควรออกไปดูให้แน่ใจ” อูหย่าตอบกลับ
“ไม่เป็นไร ข้ากลับมาแล้ว” อู๋ฝานผลักเปิดประตู
“นายท่าน!”
เมื่อลั่วเยวี่ยและลั่วหยางเห็นชายหนุ่มก็แสดงความยินดีกันออกมา สีหน้าท่าทีของอูหย่าจากที่เคร่งเครียดก็กลายเป็นผ่อนคลาย
“เจ้าหายไปไหนมาทั้งคืน? พวกเรากังวลแทบแย่” อูหย่าพร่ำบ่นขณะเดินเข้ามาถาม
“นายท่าน นับจากนี้ท่านไปไหนข้าจะติดตามไม่ให้ห่างเลยขอรับ” ลั่วหยางเอ่ยคำด้วยท่าทีแน่วแน่
“ข้าบอกไปแล้วว่าจะออกไปตรวจสอบว่ามีใครสะกดรอยมาหรือไม่” เขาตอบกลับ “พวกเจ้าไม่ควรตำหนิลั่วหยาง ข้าบอกให้เขานอนก่อนเอง เพราะข้าออกไปคนเดียวสะดวกกว่า”
“แล้วด้านนอกเป็นยังไงบ้าง?” อูหย่าเอ่ยถาม
“มีคนไล่ตามพวกเรามาจริง ๆ และคนพวกนั้นก็เข้าเมืองมาแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับ “ที่ประตูเมืองทุกทิศ พวกมันวางกำลังคนเฝ้าเอาไว้ โดยเฉพาะทิศที่ใช้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งหนานปิง ทางด้านนั้นมีการวางกำลังคนเอาไว้อย่างแน่นหนา หากคิดหาทางแทรกซึมออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
ช่วงที่เพิ่งเทเลพอร์ตมา เขาได้ปล่อยอินทรีวายุออกไปตรวจสอบเรื่องราว ดังนั้นจึงทราบสถานการณ์ของทั้งเมือง
“แล้วพวกเราจะออกไปจากเมืองยังไงดีล่ะเจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“ก็คงต้องหาทางกันอีกที” อู๋ฝานตอบ
หากมีเพียงอู๋ฝาน เขาก็มีวิธีออกไปจากเมืองมากมาย แต่เมื่อมีพวกอูหย่าด้วย วิธีการมากมายจึงไม่อาจใช้งานให้ใครพบได้ เนื่องจากมันเป็นความลับที่ตนไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครทราบ
“มื้อเช้าพร้อมแล้ว”
ขณะนี้เองที่เสียงของชายชราดังขึ้น
“ไปกันเถอะ ไปกินมื้อเช้ากันก่อน เดี๋ยวค่อยคิดว่าจะหาทางออกจากเมืองอย่างไร” ชายหนุ่มบอก
คนทั้งสามพยักหน้าตอบรับ แต่เรื่องราวนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจ มันหนักอึ้งจนทั้งสามคนแทบจะไม่มีแก่ใจทานมื้อเช้า
“เป็นอะไรไปกัน? ออกไปเล่นสนุกมาแล้วสติยังไม่กลับเข้าตัวรึไง?” ชายชราที่ทำอาหารให้กับพวกอู๋ฝาน เมื่อเห็นอูหย่าดูไม่มีเรี่ยวแรงจึงหยอกเย้าและเอ่ยคำถาม
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ผู้เฒ่าขอรับ ขอเสียมารยาทถามว่าหากพวกเราจะขออยู่อาศัยที่นี่ต่ออีกสักสองวันจะได้หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
“อยู่อีกสักสองวันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอก ยังไงข้าก็อยู่คนเดียว พวกเจ้าอยู่ที่นี่ค่อยมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ” ชายชราตอบรับ “แต่ต่อให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ไม่ใช่ทางแก้ ปัญหาที่เจอคืออะไร ลองพูดมาสิ เผื่อข้ามีทางออกให้ได้”
อู๋ฝานครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับ “เป็นแบบนี้ขอรับ พวกเราไปมีเรื่องกับคนอื่นระหว่างเดินทาง อีกทั้งตอนนั้นยังเพราะไม่ทราบตัวตนของอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ทราบแล้วว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางในเมือง มีอำนาจค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวขอรับ และเหมือนว่าทางนั้นจะถึงขั้นวางกำลังคนเฝ้าทางเข้าออกเมืองทุกทิศเอาไว้ หากเมื่อไหร่พวกเราถูกพบ ตอนนั้นเขาคงไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้แน่ ดังนั้นจึงอยากจะอยู่ต่ออีกสักหลายวันเผื่อมีโอกาสให้ออกจากเมืองได้ขอรับ”
“ไม่แปลกใจเลยที่ตอนข้าออกไปด้านนอกจะเห็นกำลังทหารอยู่ที่ประตูเมืองพอสมควร พวกนั้นดูเหมือนกำลังหาเป้าหมายอยู่จริง ๆ” ชายชราตอบรับ “แล้วไปมีเรื่องอะไรกันมาเล่า?”
“คุณชายคนนั้นเห็นคุณหนูของพวกเรางดงามจึงอยากจะรับเป็นอนุ แต่นางไม่ได้ชอบพอเขาเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาจึงพยายามใช้กำลังบีบบังคับ และก็เกิดเป็นการทะเลาะวิวาทขึ้นขอรับ” ชายหนุ่มตอบกลับ
อูหย่าถึงกับต้องลอบจ้องมองอีกฝ่าย กระทั่งแอบต่อว่าที่เขาใช้นางเป็นข้ออ้างอีกแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ตนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมตามน้ำไป
ชายชรามองอูหย่าก่อนจะพยักหน้าตอบ “ทำเกินไปมากจริง ๆ”
“ขอรับ เพราะแบบนั้นพวกเราจึงอยากขออาศัยค้างแรมต่ออีกสักหลายวัน” อู๋ฝานตอบกลับ
“อยู่ต่อสักหลายวันก็ไม่ใช่ปัญหา แต่มันก็ยังไม่ใช่ทางแก้ปัญหาอยู่ดี” ชายชราตอบกลับ “หากพวกเจ้าอยากออกจากเมือง ข้าก็พอจะมีวิธีช่วย”
“ขอรับ?” ชายหนุ่มมองชายชราด้วยแววตาแรงกล้า
พวกอูหย่าเองก็เผยสีหน้าท่าทีคล้ายคลึงกัน มันเป็นการบอกว่ากำลังหวังที่จะได้ออกเดินทางต่อ
………………..