ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 680 การตรวจค้นที่หน้าประตูเมือง
บทที่ 680 การตรวจค้นที่หน้าประตูเมือง
“นายท่าน พวกเราทำแบบนี้ได้จริงหรือเจ้าคะ?” ภายในรถลาก ลั่วเยวี่ยเอ่ยถามเสียงเบากับอู๋ฝาน
ชายหนุ่มมองชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ขณะบอกให้ลั่วเยวี่ยผ่อนคลายกว่านี้ แต่อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
“เด็กน้อยไม่ต้องกลัวไป ไม่มีอะไรทั้งนั้น ในเมืองผิงเป่าแห่งนี้ข้ามีหน้ามีตาและได้รับการนับถืออยู่บ้าง” ชายชรามองลั่วเยวี่ยพลางยิ้มตอบ
ลั่วเยวี่ยนึกละอายขึ้นมา
ตอนนี้กลุ่มคนกำลังโดยสารรถลาก เจ้าของรถลากคือชายชราที่พวกอู๋ฝานไปขอใช้สถานที่พักค้างแรม หลังได้ทราบเรื่องราวยากลำบากของกลุ่มคน ชายชราจึงเสนอตัวช่วยด้วยวิธีการอันง่ายดาย นั่นคือการพาพวกอู๋ฝานโดยสารรถลากติดตามตนเองออกไปนอกเมือง
ตามที่ชายชราเคยบอกเล่า ลูกชายของเขารับใช้กองกำลังป้องกันเมืองผิงเป่ามาก่อน ดังนั้นจึงพอมีอิทธิพลอยู่บ้าง รถลากที่เขาใช้เดินทางจะข้ามขั้นตอนการตรวจสอบหน้าประตูเมืองได้
ปกติแล้วพวกอู๋ฝานคงไม่มีทางเชื่อสนิทใจเพียงเพราะอีกฝ่ายเอ่ย เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รู้จักและทราบเรื่องราวของชายชรากับลูกชาย
แต่ประเด็นที่ชายชรากล่าวถึงนั้นถูกต้อง พวกเขาไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในเมืองตลอดไปได้ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็จำเป็นต้องหาทางออกไปนอกเมือง โดยเฉพาะพวกอู๋ฝานที่ทราบดีแก่ใจว่าศัตรูไม่ใช่นายน้อยของเมืองผิงเป่า แต่เป็นถึงจักรพรรดิแห่งหนานปิง หากพวกเขายังติดอยู่ในเมืองนานกว่านี้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ส่งกำลังทหารมาเพิ่ม หากเมื่อใดถึงเวลานั้นและพวกเขายังไม่ไปไหน สถานการณ์จะยิ่งอันตรายและเลวร้าย
ด้วยเหตุนี้การรีบออกจากเมืองจึงเป็นทางออกที่ดีกว่า
หลังไตร่ตรองกันอยู่พักหนึ่ง อู๋ฝานจึงตัดสินใจเชื่อชายชรา ก่อนจะร่วมโดยสารรถลากของอีกฝ่ายออกไปนอกเมือง
แน่นอนว่าชายหนุ่มได้เตรียมเผื่อกรณีเกิดเรื่องผิดคาดเอาไว้แล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาจะใช้ป้ายอัญเชิญสร้างความวุ่นวายที่ประตูเมือง ก่อนจะฉวยโอกาสตอนนั้นหลบหนีจากวงล้อมไป
รถลากเดินทางมาถึงประตูเมืองท่ามกลางความร้อนรนของผู้โดยสาร
เพียงมองผ่านช่องว่างของม่านตรงประตูรถลากออกไป ก็พอจะเห็นทหารเฝ้าประตูเมืองกำลังตรวจสอบทุกคนที่เดินทาง จุดที่อยู่ไม่ไกลห่างจากเหล่าทหาร มันปรากฏกลุ่มชายในชุดดูดีจำนวนหนึ่ง สายตาของพวกเขาจับจ้องยังบรรดาผู้สัญจรจนแทบจะกรีดแทงเข้าไปถึงภายใน
บุคคลดูไม่เป็นมิตรเหล่านี้ คือกลุ่มคนที่ไล่ตามมาจากเมืองซิงผิง
“หยุด!”
รถลากหยุดลงที่หน้าประตูเมืองดังที่คาดเอาไว้แต่แรก
พวกอู๋ฝานเริ่มมองหน้ากันเองพลางกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ พวกเขากำลังเคร่งเครียดและพร้อมจะลงมือตอบโต้ทุกชั่วขณะ
ชายชราหันไปส่งสายตาบอกให้พวกอู๋ฝานวางใจ จากนั้นจึงเปิดม่านประตูเล็กน้อย เพื่อเผยครึ่งร่างออกไปสอบถามทหารที่เข้ามาห้าม “มีอะไรกัน? ทำไมเข้ามาหยุดรถลากของข้าเอาไว้?”
“ที่แท้ก็เป็นผู้เฒ่าเฉินนี่เอง คำนับผู้เฒ่าเฉินขอรับ” หัวหน้าทหารที่ดูขึงขังจริงจังเมื่อครู่ เมื่อเห็นชายชราก็ต้องเปลี่ยนท่าที กระทั่งแสดงความเคารพออกมาอย่างนอบน้อม กลุ่มทหารที่ตามมาต่างก็แสดงความเคารพด้วยความนับถือเช่นเดียวกัน
“อืม” ชายชราพยักหน้าตอบอย่างสงวนท่าที “เหตุใดขวางทางกันแบบนี้เล่า?”
“เรียนผู้เฒ่าเฉิน เมืองซิงผิงได้รายงานมาว่ามีหัวขโมยหลบหนีมายังเมืองผิงเป่าของพวกเราขอรับ ดังนั้นจึงต้องการให้พวกเราช่วยตรวจสอบและจับกุมหัวขโมยดังกล่าว” หัวหน้าทหารอธิบายตอบกลับมา
“หัวขโมย? แล้วคิดว่าในรถลากของข้ามีหัวขโมยอยู่งั้นหรือ?” ชายชราเริ่มเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน “ในเมื่อสงสัยกันนักก็รีบมาตรวจสอบ”
พวกอู๋ฝานต่างมองหน้ากันเองด้วยความว้าวุ่น อูหย่า ลั่วเยวี่ย และลั่วหยางต่างเลื่อนมือไปสัมผัสอาวุธของตนราวเตรียมพร้อม เพราะหากเมื่อไหร่เกิดการตรวจค้น พวกเขาจะได้ลงมืออย่างทันท่วงที
“ผู้เฒ่าเฉินหยอกล้อกันแล้วขอรับ พวกเราจะไปสงสัยว่าในรถลากของท่านมีหัวขโมยได้ยังไงกัน? เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น เพราะเมื่อครู่ไม่ทราบว่าเป็นรถลากของท่านจึงบุ่มบ่ามไป หวังว่าท่านจะให้อภัยนะขอรับ” หัวหน้าทหารรีบเอ่ยขออภัย
หลังเอ่ยจบ เขาก็ถอยไปด้านข้างพร้อมบอกทหารทางด้านหลัง “เปิดทางให้รถผ่านไปได้แล้ว”
ชายชราพยักหน้าตอบรับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเตรียมกลับเข้ารถลากเพื่อเดินทางต่อ
“รอเดี๋ยว จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
ทันใดนี้เองที่กลุ่มคนซึ่งดูแข็งแกร่งเดินเข้ามา ขณะที่อีกส่วนหนึ่งหยุดอยู่กับที่โดยหันมามองด้วยความสนใจ
“รถลากทุกคันและทุกคนที่เข้าออกเมืองจะต้องผ่านการตรวจสอบ รถลากคันนี้ก็ต้องรับการตรวจสอบด้วยเช่นกัน” ชายวัยกลางคนที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนในชุดที่ภูมิฐานเผยสีหน้าท่าทีขึงขัง
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ชายชราเอ่ยถาม
“พวกเราคือองครักษ์จากจวนเจ้าเมืองซิงผิง ขณะนี้ได้รับคำสั่งให้มาตามจับหัวขโมย” ชายวัยกลางคนยังคงตอบรับด้วยสีหน้าขึงขัง
“จับโจรผู้ร้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานปกครองไม่ใช่หรือ? องครักษ์ของจวนเจ้าเมืองมีหน้าที่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงบ
“เรื่องนี้… การจับกุมหัวขโมยเป็นหน้าที่ของหน่วยงานปกครองก็จริง แต่หัวขโมยรายนี้ดุร้ายและโหดเหี้ยม ท่านเจ้าเมืองกังวลว่าเจ้าหน้าที่ของทางการจะรับมือได้ไม่ไหว ดังนั้นจึงส่งพวกเรามาสนับสนุนและช่วยเหลือ” ชายวัยกลางคนตอบกลับ
“การคุ้มกันที่เมืองซิงผิงเลวร้ายถึงขนาดนั้นเลย? หน่วยงานปกครองทำงานกันไม่เป็นเลยหรือยังไง?” ชายชราอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเหยียดหยัน
“เพราะเป็นเรื่องเกินคาด และหน่วยงานปกครองก็รับใช้เจ้าเมืองอีกทีหนึ่ง ยังไม่กล่าวว่าเมืองซิงผิงของพวกเราแม้เป็นยามค่ำคืนก็ไม่ได้ปิดถนนที่ใช้สัญจร” ชายวัยกลางคนตอบกลับ
“ข้าไม่สนว่าเมืองซิงผิงจะทำอะไร แต่ที่นี่คือเมืองผิงเป่า ไม่ใช่เมืองซิงผิง มันไม่ใช่สถานที่ที่อำนาจของเมืองซิงผิงจะเข้ามาแทรกแซงกิจการของคนอื่นได้ตามใจชอบ” ชายชราตอบกลับด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก จากนั้นจึงมองหัวหน้าทหารคนเดิมอีกครั้ง “จะตรวจสอบหรือให้ไปได้แล้ว? จะทำอะไรก็รีบทำสักอย่าง”
“ไปขอรับ ไปได้เลยขอรับ!” หัวหน้าทหารตอบคำกลับ
“ใต้เท้าหลิว! ที่นี่คือเมืองผิงเป่า ไม่ใช่เมืองซิงผิงของพวกท่าน ท่านเจ้าเมืองขอให้พวกเรารับผิดชอบหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนพวกท่านทำได้เพียงเฝ้ามอง อำนาจการตัดสินใจไม่ใช่ของพวกท่าน” หัวหน้าทหารเริ่มตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าชายวัยกลางคน “ข้าคือคนรับผิดชอบประตูเมืองแห่งนี้ ข้าบอกว่าไปได้ก็คือไปได้!”
“ไม่ได้!” ชายวัยกลางคนยังคงดื้อรั้น จ้าวชิวซานบอกเขาว่าต้องไม่ปล่อยให้องค์หญิงสามและพรรคพวกหลบหนีได้อีก ดังนั้นระหว่างการตรวจสอบจึงต้องไม่มีการยกเว้นให้กับใครทั้งนั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียง กลิ่นดินปืนกำลังเริ่มคุกรุ่น
“จะตรวจสอบก็รีบทำ อย่าได้ทำทั้งสองเมืองขุ่นข้องกันเพราะข้า” ชายชราตอบกลับ
“ไม่ขอรับ!” หัวหน้าทหารตอบกลับอย่างหนักแน่น “ท่านคือบิดาของขุนพลเฉิน และขุนพลเฉินคืออดีตผู้บัญชาการของพวกเรา ตรวจสอบรถของท่านเทียบเท่าสงสัยและดูหมิ่นต่อกองกำลังป้องกันเมืองขอรับ!”
ขณะนี้เองที่หัวหน้าทหารตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ระดมพล!”
เพียงชั่วอึดใจ ทหารประจำการของทั้งประตูเมืองจึงรีบมารวมพลยืนเคียงข้างหัวหน้าทหาร เพื่อเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคน
“จับตาให้ดี! หากใครขวางทางให้จัดการได้เลย!” หัวหน้าทหารตะโกนสั่งด้วยเสียงอันดัง
“ขอรับ!” ทหารทุกนายที่มารวมพลต่างตะโกนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
………………..