ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 681 อำลา
บทที่ 681 อำลา
รถลากเริ่มเคลื่อนตัวออกไปนอกเมืองอย่างช้า ๆ
ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดดูภูมิฐานก้าวออกมาและคิดที่จะห้ามเอาไว้ แต่ทหารของเมืองผิงเป่าก็ก้าวเท้าออกมาพร้อมกัน เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้เข้าใกล้รถลาก
ชายวัยกลางคนที่คิดเข้ามาขวางเผยสีหน้าปั้นยาก เขาจ้องรถลากตามไป สัญชาตญาณร้องบอกว่ามันจะต้องมีอะไรผิดปกติ ความสามารถในการสังเกตของตนไม่ได้มองข้าม ว่ารอยล้อของรถลากคันนั้นมันค่อนข้างที่จะมีน้ำหนัก ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าด้านในรถลากมีคนมากกว่าหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะไม่ปรากฏเป็นร่องลึกให้เห็นบนพื้น
แต่เพราะทหารของเมืองผิงเป่ายืนยันที่จะปฏิเสธการตรวจค้นและปล่อยรถลากคันดังกล่าวไป มันทำให้พวกเขาเองก็อับจน เพราะที่นี่คือเมืองผิงเป่า ไม่ใช่เมืองซิงผิง เจ้าเมืองผิงเป่ายอมให้ตรวจหน้าประตูเมืองได้ก็ถือว่าเห็นแก่หน้าจ้าวชิวซานมากแล้ว แต่เงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์และอำนาจในการตรวจสอบคือคนของเมืองผิงเป่า ไม่ใช่คนนอกเช่นพวกเขา หากพวกเขายังจะกล้าร้องขอตรวจสอบด้วยตนเอง มันจะถือเป็นการรุกล้ำอำนาจปกครอง
“อย่าเพิ่งผลีผลาม” ชายวัยกลางคนในชุดภูมิฐานเอ่ยห้ามคนของตนเองเอาไว้
ที่นี่คือเมืองผิงเป่า เจ้าเมืองผิงเป่าตอบรับให้ความช่วยเหลือก็ถือว่าดีมากแล้ว หากพวกเขากล้าทำอะไรกับทหารเฝ้าประตูที่นี่ เมื่อนั้นคงได้ถูกขับไล่ออกจากเมืองจนไม่อาจทำอะไรอื่นได้อีก
“หลีกทางได้แล้ว” ชายวัยกลางคนในชุดภูมิฐานมองรถลากที่ไกลห่างออกไปด้วยความร้อนรน
“ยังไม่ได้ ต้องรออีกสักพักหนึ่ง” หัวหน้าทหารตอบกลับ
“อย่าให้มันมากเกินไปนัก!” ชายวัยกลางคนเริ่มมีโทสะ
“อย่านึกว่าผู้อื่นไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไร คงร้อนใจอยากจะไล่ตามไปตรวจสอบแทบตายแล้วล่ะสิ ข้าคงไม่อาจให้ทำเช่นนั้นได้” หัวหน้าทหารตอบด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“เจ้า!…” ชายวัยกลางคนแทบจะถลึงตามองอีกฝ่าย เพียงแต่ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาคิดที่จะไล่ตามไปหยุดรถลากไว้อีกครั้งหนึ่งจริง ๆ แต่เมื่อกลุ่มคนตรงหน้าล่วงรู้ความคิดแล้ว ดังนั้นคงไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสได้ลงมือ
การเผชิญหน้าที่หน้าประตูเมืองยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งรถลากออกจากเมืองไปนานแล้ว ทหารของเมืองผิงเป่าจึงเริ่มตรวจสอบผู้สัญจรอีกครั้ง และทันทีที่สถานการณ์จบลง ชายวัยกลางคนในชุดภูมิฐานก็นำกำลังคนของตนออกไปนอกเมือง โดยเหลือคนในกลุ่มไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อคอยเฝ้าจับตาประตูเมืองต่อ
เมื่อออกห่างจากเมืองผิงเป่าได้ไกลพอสมควรแล้ว พวกอู๋ฝานจึงเอ่ยลา
“ข้าส่งพวกเจ้าตรงนี้ก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือคงต้องเดินทางกันต่อเองแล้ว เดี๋ยวข้าจะเดินเล่นแถวนี้สักระยะแล้วค่อยกลับเมืองก็แล้วกัน” ชายชราบอกกับพวกอู๋ฝาน
“ขอบคุณขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณ
“ท่านผู้เฒ่า ไม่คิดสงสัยตัวตนของพวกเราเลยหรือขอรับ?” เขาอดไม่ได้จนต้องเอ่ยถาม
“ในฐานะคนแก่ที่เห็นอะไรมามาก ข้าคร้านจะสงสัยอะไรแล้ว” ชายชราตอบกลับ “แต่ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่หัวขโมย ตรงส่วนนี้ข้ายังพอมีตามองออกได้”
“พวกเราไม่ใช่หัวขโมยจริง ๆ ขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน หากคิดอธิบายให้กระจ่างชัดในเวลาสั้น ๆ ออกจะเป็นเรื่องยากขอรับ”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องเล่า” ชายชราตอบกลับ “พวกเจ้าควรรีบเดินทาง คนพวกนั้นคงกำลังไล่ตามมาเป็นแน่”
คนพวกนั้นที่ชายชราเอ่ยถึงย่อมเป็นชายวัยกลางคนในชุดภูมิฐานที่คิดตรวจค้น ชายชราเพียงมองก็ทราบว่าคนกลุ่มนั้นมาเพราะพวกอู๋ฝาน อีกฝ่ายที่ไม่สามารถจัดการเรื่องตรงประตูเมืองได้ เชื่อว่าคงไม่ยอมปล่อยวางเพียงแค่นั้นอย่างแน่นอน
เขาพยักหน้ารับก่อนจะประสานมือให้ “ขอบคุณอีกครั้งขอรับ หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง”
ชายชราโบกมือตอบพวกอู๋ฝาน ก่อนจะเร่งให้พวกเขารีบเดินทางกันไป
ส่วนพวกอู๋ฝานรับเอารถลากมาใช้งาน โดยลั่วหยางยังรับหน้าที่ควบคุมม้า
หลังรถลากเคลื่อนที่ อู๋ฝานก็ตัดสินใจเปิดม่านของรถลากออกไปและพูดคุยเสียงดังกับชายชรา “ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ขอรับ?”
“เฉินเหวินเต๋อ!” ชายชราตอบกลับ
“ขอบคุณผู้เฒ่าเฉินที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” อูหย่าเอ่ยขึ้น
“ใช่ขอรับ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงต้องหาทางฟันฝ่าออกมาเอง” เขาตอบรับ
ความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังฟันฝ่าออกมาด้วยตัวเองนั้นแทบจะไม่มี เพราะมันจะเกิดทั้งเสียงดังและปัญหาอื่น ๆ ตามมาไม่รู้จบ
“สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านผู้เฒ่าจะถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่เจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยเอ่ยขึ้นมา
“ไม่น่าจะเป็นอะไร จากที่ทหารคุ้มกันหน้าประตูเมืองบอก ลูกชายของผู้เฒ่าเป็นถึงขุนพลแห่งกองกำลังป้องกันเมืองผิงเป่า ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้มีอำนาจในเมืองพอสมควร คนของเมืองซิงผิงคงไม่กล้าทำอะไร” อู๋ฝานตอบกลับ
อูหย่าพยักหน้ารับก่อนจะพึมพำด้วยความประหลาดใจ “ข้าก็ยังไม่นึกว่าเขาจะมีตัวตนเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ในบ้านไม่มีข้ารับใช้อยู่เลย และสถานที่ที่เขาใช้พำนักอาศัยก็ไม่ได้หรูหราอะไร”
พวกอู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ เพราะไม่มีใครในพวกเขาคาดว่าเจ้าของบ้านที่บังเอิญหาพบเจอจะมีตัวตนเช่นนี้
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ารู้ทางไปเมืองเฟิงอวี่ใช่ไหม?” อู๋ฝานเอ่ยถามอูหย่า
“ใช่” อูหย่าพยักหน้ารับ “แม้จะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากไปบ้าง แต่ก็ใช้เวลาน้อยและไม่ค่อยมีคนรู้จักสักเท่าไหร่”
“ตกลง”
จากนั้นอูหย่าก็รับผิดชอบบอกทางให้ลั่วหยาง ทั้งคณะจึงรีบเดินทางสู่เมืองเฟิงอวี่
หลังพวกอู๋ฝานจากไปได้ไม่นาน กองทหารม้าจึงไล่ตามมาทัน พวกเขาเหล่านี้คือคนของจวนเจ้าเมืองซิงผิง ผู้นำคือชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้ต้องการจะตรวจสอบรถลาก
กลุ่มคนไล่ตามมาจนถึงสถานที่ซึ่งผู้เฒ่าเฉินและพวกอู๋ฝานแยกกันออกเดินทาง โดยพวกเขาได้พบเพียงผู้เฒ่าเฉินที่กำลังนั่งชมทิวทัศน์อยู่บนก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้ ดวงตานั้นกำลังหลับพลางฮัมเพลงรับกับการชมธรรมชาติ
“นี่ผู้เฒ่า ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้? รถลากไปไหนแล้ว?” คนของกองทหารม้าคนหนึ่งควบม้าเข้าไปสอบถาม
ผู้เฒ่าเฉินลืมตาขึ้นเล็กน้อยขณะมองกลุ่มคน เขาไม่ตอบและแค่นเสียงเบาบาง ก่อนจะก็หลับตาลงไปอีกครั้ง
“เหอะ! ตาแก่นี่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ หูตึงหรือยังไง!?” ท่าทีของผู้เฒ่าเฉินทำให้กลุ่มคนโกรธเกรี้ยว
“ข้าจะทำอะไรหรือที่ไหนมันเกี่ยวข้องใด ๆ กับพวกเจ้า? รถลากของข้าหายไป มันใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องกังวลงั้นหรือ?” ผู้เฒ่าเฉินตอบรับขณะยังคงหลับตา
“ท่าทีเช่นนี้คืออะไร? เชื่อหรือไม่ว่าแส้ในมือข้ามันฟาดใส่เจ้าได้!” ทหารผู้นั้นยกแส้ขึ้นเตรียมฟาดผู้เฒ่าเฉิน
“ลองดูไหมเล่า?” ผู้เฒ่าเฉินไม่มีท่าทีหวาดเกรงแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ขยับไม่ไหวติง ทว่าดวงตายังคงหลับอยู่เช่นเดิม
“คิดว่าข้าไม่กล้างั้นหรือ? ข้าจะฟาดเจ้าจนตาย!” จบคำ ทหารผู้นั้นก็เงื้อแส้เตรียมฟาดใส่ร่างของผู้เฒ่าเฉิน
เพียงแต่แส้นั้นไม่อาจสำแดงอำนาจ เพราะข้อมือของผู้คิดกระทำถูกจับห้ามปรามเอาไว้ โดยชายวัยกลางคนชุดภูมิฐานซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มคน
ชายวัยกลางคนห้ามปรามการกระทำที่หยาบคาย สายตาเขามองยังผู้เฒ่าเฉินขณะเอ่ยถาม “ท่านผู้เฒ่า เมื่อครู่นี้ในรถลากของท่านมีคนซ่อนตัวอยู่ใช่หรือไม่? ตอนนี้พวกเขาไปที่ใดแล้ว? ข้าหวังว่าท่านจะบอกความจริง”
“ไม่มีใคร ข้าอยู่เพียงคนเดียว” ผู้เฒ่าเฉินตอบกลับ
“ผู้เฒ่า คนพวกนั้นคือหัวขโมยที่ร้ายกาจและอันตราย พวกเราจำเป็นต้องจับกุมเพื่อกำจัดภัยคุกคามแก่ประชาชน” ชายวัยกลางคนพยายามเกลี้ยกล่อม
“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีใคร แล้วยังจะมีหัวขโมยอะไรให้เจ้าได้จับกุมอีกเล่า” ผู้เฒ่าเฉินตอบกลับ