ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 683 เปิดเผยความทะเยอทะยาน
บทที่ 683 เปิดเผยความทะเยอทะยาน
อู๋ฝานที่กลับมายังโลกความเป็นจริง หลังรุ่งสางจึงเตรียมนำคนของวังเมฆาสีชาด สำนักล้ำสวรรค์ และวังเมฆาสวรรค์ออกไปบุกโจมตีสำนักอสนีบาตสวรรค์ ที่ซึ่งเป็นสำนักชั้นหนึ่งแห่งสุดท้ายในเจียงโจวตามแผนการที่วางเอาไว้เมื่อวาน
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกเดินทาง เขากลับพบว่ามีแขกผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิดรออยู่นอกบ้าน
“เมื่อกี้นี้บอกว่าคนที่มารอพบอยู่ข้างนอกแจ้งว่าตัวเองคือกู่อวิ๋น เจ้าสำนักอสนีบาตสวรรค์เหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามจากเหมยอวี่ที่เข้ามาแจ้งเรื่องให้ทราบ
“ใช่ค่ะ เขาแจ้งไว้แบบนั้นค่ะ” เหมยอวี่ตอบรับ
อู๋ฝานที่หายประหลาดใจเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับทราบแล้วว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์อะไร
“เชิญเขาเข้ามาครับ”
หลังจากนั้นเหมยอวี่ก็ออกไปนำทาง ไม่นานกู่อวิ๋นก็เดินเข้ามา และเมื่อพบหน้าก็โค้งกายแสดงความนอบน้อมต่ออู๋ฝาน
“เจ้าสำนักอสนีบาตกู่อวิ๋น คำนับนายน้อยอู๋ครับ” เมื่อพบชายหนุ่มกู่อวิ๋นก็เผยมารยาทอันนอบน้อมทักทาย
“เจ้าสำนักกู่มาแต่เช้าเลยนะครับ วันนี้ตอนแรกผมคิดจะไปเยี่ยมที่สำนักอยู่พอดี” อู๋ฝานตอบกลับ
เมื่อได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่ม เปลือกตาของกู่อวิ๋นถึงกับกระตุก พร้อมคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาปล่อยสำนักอสนีบาตสวรรค์ไปอยู่แล้ว โชคดีที่พวกเขาตัดสินใจเรียบร้อยและลงมือได้รวดเร็วพอ
หลังคิดได้ดังนั้นกู่อวิ๋นจึงรีบตอบ “นายน้อยอู๋ วันนี้ผมมาสาบานสวามิภักดิ์ในฐานะตัวแทนของทั้งสำนักอสนีบาตสวรรค์ครับ นับจากนี้สำนักอสนีบาตสวรรค์ของพวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งของนายน้อยอู๋”
“ไตร่ตรองกันมาดีแล้วใช่ไหมครับ?” อู๋ฝานถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
คำพูดของกู่อวิ๋นไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ ในเมื่ออีกฝ่ายมาเพียงคนเดียว จุดประสงค์ก็ถือว่าชัดเจนอยู่แล้ว
“ครับ” กู่อวิ๋นตอบรับด้วยความมั่นใจ จากนั้นจึงส่งสมุดบันทึกเล่มหนึ่งให้อู๋ฝาน “นี่คือข้อมูลปัจจุบันของสำนักอสนีบาตสวรรค์ครับ มันมีรายชื่อ อายุ ขอบเขตการฝึกฝนของศิษย์ทั้งหมดในสำนัก รวมถึงข้อมูลอื่นอย่างเช่นกิจการ เส้นสาย และสิ่งอื่น ๆ ที่สำนักถือครอง”
อู๋ฝานรับมาพลิกอ่านสองครั้ง ถัดจากนั้นจึงวางมันลงพลางตอบ “ผมยอมรับการสวามิภักดิ์ที่ว่ามาครับ ในเมื่อสำนักอสนีบาตสวรรค์ตัดสินใจดีแล้ว ผมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ส่วนเรื่องสำนักที่ยึดไปแล้วเมื่อวาน ก็ให้ผนวกรวมเข้ากับสำนักอสนีบาตสวรรค์ไปครับ”
“ครับนายน้อย” กู่อวิ๋นตอบรับอย่างนอบน้อม “เมื่อไหร่ที่จัดการเรียบร้อย ผมจะส่งเอกสารให้นายน้อยอีกครั้งหนึ่งครับ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
“เหมยอวี่ แจ้งสวีอี้ซานและคนอื่นว่าปฏิบัติการวันนี้ยกเลิกแล้ว ให้พวกเขาอยู่ประจำสำนักและหลอมรวมศิษย์จากสำนักอื่นที่รับมากันต่อได้” หลังกู่อวิ๋นกลับไป อู๋ฝานจึงฝากเหมยอวี่ไปจัดการเรื่องราว “และให้พวกสวีอี้ซานกระจายข่าวออกไปด้วย ว่านับจากนี้ทุกสำนักในเจียงโจวต้องยอมรับสภาวะผู้นำของผม โดยจะให้เวลาพวกเขาได้ไตร่ตรองสามวัน ใครยินดีเข้าร่วมให้ส่งเอกสารข้อมูลของสำนักมา ส่วนใครไม่ยินดีเข้าร่วมขอให้ออกไปจากเจียงโจวภายในสามวัน เมื่อไหร่ที่หมดเวลา พวกเราจะไม่อนุญาตให้มีสำนักใดก็ตามที่ไม่ได้เข้าร่วมอยู่ในเจียงโจว“
หลังจัดการเรื่องของสำนักอสนีบาตสวรรค์เรียบร้อย ก็ถือเป็นการเคลียร์ปัญหาสำนักชั้นหนึ่งทั้งหมดในเจียงโจว ด้วยเหตุนี้อู๋ฝานจึงกล้าแสดงเขี้ยวเล็บและความทะเยอทะยานที่แท้จริงออกมา
“ค่ะ!” เหมยอวี่ตอบรับด้วยความนอบน้อม
ชายหนุ่มทราบดีว่าการกระทำแบบนี้คือการปกครองโดยอำนาจ ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วตอนแรกเขาทำเพียงเพราะต้องการล้างแค้น แต่เกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ตนต้องมีความคิดเห็นเป็นอื่น สุดท้ายก็มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่มากขึ้น ด้วยโอกาสที่เล็งเห็นรวมกับความสามารถ การที่จะก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“บางทีตอนที่สวีอี้ซานคุกเข่าตรงหน้าครั้งแรก เราคงมีความคิดนี้อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจอยู่แล้ว” อู๋ฝานพึมพำกับตนเอง
การคุกเข่าของสวีอี้ซาน มันเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเจ้าตัว รวมถึงความคิดของอู๋ฝาน
ไม่นานถ้อยคำของชายหนุ่มก็แพร่กระจายออกไป ตอนนี้เองที่สำนักทั้งหลายในเจียงโจวตระหนักว่าการกระทำทั้งหมดของอู๋ฝาน ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการล้างแค้นบรรดาสำนักที่ดักซุ่มโจมตี แต่เป็นเพราะมีแรงจูงใจซ่อนเร้นอันยิ่งใหญ่อยู่
มันไม่ใช่ว่าในอดีตไม่มีคนคิดอยากทำแบบนี้ เพียงแต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน ขณะที่อู๋ฝานไม่ใช่ เขาสร้างความเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะสำนักชั้นหนึ่งทั้งหมดในเจียงโจวยอมถูกสยบ หรือไม่ก็ถูกกวาดล้างไปจนสิ้น ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของเหล่าสำนักในเจียงโจว ท่ามกลางแวดวงผู้ฝึกตนที่ยังเหลืออยู่ในท้องถิ่น พวกเขาเป็นเพียงแค่สำนักชั้นสองและลำดับที่อยู่ต่ำกว่านั้น แม้จะมีจำนวนมากมาย ทว่าความแข็งแกร่งไม่มีทางเทียบวังเมฆาสีชาดและหลากสำนักที่ผนึกกำลังร่วมกันได้
ดังนั้นหลังทราบข้อความของอู๋ฝาน แม้หลายคนจะสบถอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้คือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับหรือยอมถูกสยบเหมือนดังผู้อื่น และคนกลุ่มนั้นกำลังวางแผนลับอยู่
เพราะสำนักอสนีบาตสวรรค์ยอมจำนน จึงทำให้อู๋ฝานว่างอย่างกะทันหัน ขณะคิดว่าจะทำอะไรดีอยู่นั้น เขาก็ได้รับสายจากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
เมื่อเห็นชื่อผู้โทร ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งรีบกดรับสาย
“อู๋ฝาน วันนี้ยุ่งรึเปล่าคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถามตรงประเด็น เพราะน้อยครั้งที่เธอจะพูดเยิ่นเย้อเสียเวลา
“ไม่ยุ่งครับ”
“ไปช็อปปิงกันไหมคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ไปครับ”
หลังคนทั้งสองนัดสถานที่พบเจอ อู๋ฝานจึงออกไป
นับตั้งแต่เรื่องของเจ้าเสวี่ยอี๋ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นบางประการ เดิมหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังรอให้อู๋ฝานเป็นฝ่ายเข้าหา แต่สองวันที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่ติดต่อมาหาเลยสักครั้ง กระทั่งไปที่สนามกีฬาเธอก็ยังไม่ได้พบ สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อพูดคุย
แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ชอบช็อปปิง เหตุผลที่กล่าวออกไปนั้นก็เป็นเพียงข้อแก้ตัวเพราะต้องการพบชายหนุ่ม
“สองวันนี้เกิดเรื่องขึ้นพอสมควรเลยครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
สองวันที่ผ่านมาเขาค่อนข้างยุ่งจริง ๆ ดังนั้นเลยไม่มีเวลาไปออกกำลังกายเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกเช้า
“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับ ชายหนุ่มไม่อธิบายรายละเอียด ดังนั้นเธอจึงไม่ถามให้มากความเช่นกัน
“ตอนนี้เรื่องพวกนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็จะง่ายขึ้นครับ” อู๋ฝานเผยยิ้มออกมา “ผมได้ยินมาว่ามีร้านอาหารใหม่แถวถนนเฉียนจิน ที่นั่นค่อนข้างดูน่าทานเลยทีเดียว ไว้มื้อเที่ยงไปหาอะไรง่าย ๆ กินดีไหมครับ?”
“ไปจับตาดูศัตรูทางการค้าเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ” เขาตอบกลับ “ผมไม่เอาร้านของตัวเองไปเทียบกับร้านอื่นหรอก ตอนนี้ร้านโลกในแหวนถือว่าเป็นร้านที่ดีที่สุดในเจียงโจวแล้ว แต่ผมได้ยินมาว่ารสชาติอาหารของที่นั่นก็น่าลองทานไม่เลว”
“ก็ดีค่ะ” หญิงสาวตอบรับ
คนทั้งสองจึงพูดคุยพลางเดินถนน ส่วนทางด้านหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ หากรู้จักเธอสักนิดจะพบว่าเธอพูดเยอะกว่าปกติค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ขณะคนทั้งสองพูดคุยไปเรื่อย หัวข้อสนทนาจึงมาหยุดลงที่สำนักหลอมกระบี่ งานชุมนุมกระบี่ถือเป็นงานใหญ่ในแวดวงผู้ฝึกตน ช่วงไม่นานมานี้ยังได้รับความนิยมอย่างสูง
………………..