ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 686 ศึกในราชสำนัก
บทที่ 686 ศึกในราชสำนัก
อาณาจักรหนานปิง ณ โถงหลักวังหลวง
จักรพรรดิอูเฉียนที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ปัจจุบันกำลังมึนงงขณะรับฟังคำอธิบายจากจ้าวซิ่งเหนียนผู้เป็นเสนาบดีกรมคลัง
อูเฉียนไม่ได้ฟังที่จ้าวซิ่งเหนียนบอกกล่าว แต่กำลังครุ่นคิดถึงจดหมายลับที่จ้าวชิวซานส่งมาให้เมื่อคืน เพราะส่งโดยใช้นกพิราบสื่อสารจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเป็นต้นเหตุทำให้ทั้งคืนเขาไม่อาจข่มตานอนหลับ
องค์หญิงสามอูหย่ายังไม่ตาย!
ในจดหมายลับของจ้าวชิวซานมีข้อความมากมาย แต่เรื่องอื่นไม่ได้สำคัญกว่าประเด็นหลัก เพราะส่วนที่เหลือนั้นคือการอ้างเพื่อหาทางปกป้องตนเอง อูเฉียนย่อมไม่ใส่ใจจะอ่าน และไม่คิดอยากอ่านด้วย
ข้อเท็จจริงที่อูหย่ายังไม่ตาย ทั้งยังใกล้มาถึงเมืองหลวงแล้ว มันทำให้อูเฉียนไม่อาจสงบใจลงได้
อดีตจักรพรรดิแห่งหนานปิงมีโอรสและธิดามากมาย อูหย่าคือตัวตนพิเศษหนึ่งเดียวในหมู่คนเหล่านั้น บางครั้งอูเฉียนยังต้องนึกริษยาสิ่งที่อูหย่าได้รับด้วยซ้ำไป
อูหย่างดงาม รวมทั้งมีสติปัญญายอดเยี่ยม และยังเป็นที่รักของอดีตจักรพรรดิและอัครมเหสี เพราะแบบนั้นนางถึงได้ออกไปเดินทางทั่วแผ่นดินอยู่บ่อยครั้งตามใจ โดยที่จักรพรรดิไม่เคยห้ามสักครั้ง
อูเฉียนเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเข้าใจเรื่องราวมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เขาทราบดีถึงความหมายของตำแหน่งที่บิดาของตนเองครอบครอง เพราะแบบนั้นเขาจึงเฝ้าฝันจะได้นั่งบนบัลลังก์ในอนาคต
อูเฉียนทราบดีว่าบิดาของตนเองและเหล่าเสนาบดีคือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ ว่าใครกันที่จะสามารถได้ตำแหน่งดังกล่าว และคนที่สำคัญที่สุดคือบิดาของตน ขอเพียงบิดายอมรับ เรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้นก็ไร้ปัญหา ดังนั้นอูเฉียนจึงมีเป้าหมายตั้งแต่เด็ก ยามอยู่ต่อหน้าบิดาและเหล่าเสนาบดี เขาจะแสดงออกเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาและพากเพียรหาความรู้ รวมถึงห่วงใยชีวิตของราษฎรทั้งหลาย เพื่อที่จะได้สร้างความประทับใจดี ๆ ให้กับทั้งบิดาและเหล่าเสนาบดี
แต่อูเฉียนไม่ทราบว่าสิ่งที่เขามองว่าทำได้ดีแล้ว กลับทำให้บิดาไม่ชอบตนขึ้นมา ทั้งท่าทีและคำเรียกหายังแตกต่างไปจากผู้อื่น มันแตกต่างจากท่าทีที่มีต่ออูหย่าอย่างสิ้นเชิง
ส่วนเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย ส่วนหนึ่งชื่นชอบเขา ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเลือกเว้นระยะห่าง กระทั่งไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยซ้ำ
เพราะการตอบรับดังกล่าวจึงทำอูเฉียนสับสนมาตลอด ทั้งยังรู้สึกนึกคับแค้นอยู่ในใจ
ทว่าอูเฉียนทราบดีว่าตนไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ เว้นแต่จะไม่หมายปองต่อบัลลังก์แล้ว เนื่องจากเขาเป็นเพียงหนึ่งในองค์ชายมากมายและไม่ได้มีอะไรพิเศษ ดังนั้นจึงเลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ ต่อให้ต้องเอาอกเอาใจอดีตจักรพรรดิแค่ไหนก็ยังพยายาม ทั้งยังเลือกเข้าหาอูหย่า โดยหวังว่ามันจะทำให้อดีตจักรพรรดิมองเขาในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ในขณะเดียวกันก็หวังว่าอูหย่าจะช่วยพูดทำให้ตนเองดูดีขึ้นมาบ้าง
อูหย่าไม่ได้ตระหนักถึงเจตนาดังกล่าว ดังนั้นจึงมองว่าพี่สี่ของนางทั้งแสนดีและชื่นชอบในตัวนาง
อูเฉียนทราบดีว่าบัลลังก์ที่ได้มาครอบครองนั้นไม่มั่นคง เพราะไม่ใช่เสนาบดีทุกคนที่พร้อมจะสนับสนุน แต่การที่ตนสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็เพราะเป็นคนเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ ทว่าในหมู่เสนาบดีก็มีคำพูดหนึ่งเช่นกัน
สาเหตุที่อาณาจักรสุ่ยเยวี่ยส่งหน่วยลับเข้ามาในวังหลวงแห่งอาณาจักรหนานปิงได้นั้นก็เพราะมีไส้ศึกอยู่ในวังตั้งแต่แรก และอูเฉียนคือผู้ต้องสงสัยสูงสุด เนื่องจากทั่วทั้งราชวงศ์แห่งหนานปิง นอกจากองค์หญิงอูหย่าที่อยู่ภายนอก อูเฉียนกลับรอดชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว กระทั่งได้ครองบัลลังก์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ และหลังขึ้นปกครองก็เห็นได้ชัดว่าอูเฉียนกำลังเอนเอียงเข้าหาอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย
เป็นเพราะข่าวลือดังกล่าวแพร่สะพัดออกไปในหมู่ข้าราชบริพาร ภายในราชสำนักจึงยิ่งไม่ชื่นชอบจักรพรรดิพระองค์ใหม่ และอูเฉียนเองก็ทราบดีว่าบัลลังก์ของตนยังไม่มั่นคง
ดังนั้นครั้งนี้มีหรือที่อูเฉียนจะยอมอยู่เฉย เขาจะยอมมององค์หญิงสามผู้เป็นที่รักของอดีตจักรพรรดิและเสนาบดีทั้งหลายกลับเข้าวัง?
ดังนั้นก่อนช่วงเช้าวันนี้ อูเฉียนจึงกำชับให้ประตูเมืองทุกทิศตรวจสอบคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด และขณะเดียวกันก็ส่งหน่วยลับออกไปมากมาย เพื่อมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองผิงเป่า เผื่อว่าจะยังมีหวังสามารถขัดขวางอูหย่าเอาไว้กลางทางได้
“ฝ่าบาท ไม่กี่ปีมานี้อาณาจักรหนานปิงของเราประสบทั้งอุทกภัยและภัยแล้ง การเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่นาลดน้อยลงทุกปี กองทัพกบฏก็เริ่มปรากฏขึ้นทั่วทุกแห่ง ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการเก็บภาษี เนื่องจากพวกเราควรบรรเทาทุกข์แก่ราษฎรพ่ะย่ะค่ะ พวกเราควรสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้คน เพราะหากพวกเราบีบบังคับให้พวกเขาต้องเอาชีวิตรอด เมื่อนั้นพวกเขาจะเริ่มลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน หวังว่าฝ่าบาทจะนำเรื่องการเก็บภาษีเพิ่มกลับไปทบทวนอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ“
เมื่อครู่เขาเพิ่งรายงานข้อมูลสถานการณ์บ้านเมืองในอาณาจักรหนานปิงให้อูเฉียนทราบ โดยเฉพาะสถานการณ์ของชาวนาทั้งหลาย เพื่อหวังให้อูเฉียนยอมถอนความคิดเรื่องการจัดเก็บภาษีเพิ่ม
“ฝ่าบาทพิจารณาอีกครั้งด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจ้าวซิ่งเหนียนรายงานจบ เหล่าเสนาบดีจึงพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนในโถงเพื่อสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว
“พอแล้ว!”
อูเฉียนเดิมก็อารมณ์ไม่ดีเพราะอูหย่าปรากฏตัวอย่างกะทันหันอยู่แล้ว ขณะนี้ยังต้องมารู้สึกไม่พอใจตอนที่ได้ยินคำพูดของจ้าวซิ่งเหนียนและพรรคพวกอีก
“พวกเจ้าคิดว่าข้าต้องการทำเช่นนี้หรือ? หากพวกเราไม่เก็บภาษีเพิ่ม เช่นนั้นจะจ่ายค่าชดเชยให้อาณาจักรสุยเยวี่ยและอาณาจักรเฮยสุ่ยอย่างไร?” อูเฉียนตอบเสียงดัง
คนของอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยและเฮยสุ่ยไม่ได้กลับไปเฉย ๆ ตอนเดินทางกลับพวกเขาก็ยังปล้นชิงท้องพระคลังของอาณาจักรหนานปิง โดยการกวาดเอาทุกสิ่งไปจนหมด ขณะเดียวกันนั้น อาณาจักรทั้งสองก็ยังเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากอาณาจักรหนานปิงเป็นจำนวนมหาศาล อูเฉียนที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำได้เพียงพยักหน้ารับโดยไม่อาจต่อรองใด ๆ ได้ทั้งสิ้น
เมื่อท้องพระคลังแทบจะว่างเปล่า อูเฉียนก็จำเป็นจะต้องหาเงินมาจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามตามที่สองอาณาจักรร้องขอ และความคิดมักง่ายของเขาจึงจบลงที่การขูดรีดภาษี!
อาณาจักรหนานปิงผ่านพ้นช่วงเก็บภาษีมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าตอนนี้ต้องการเก็บเพิ่มอีกครั้ง รวมกับประชาชนในบ้านเมืองที่ประสบความยากลำบาก หลายคนจึงเลือกที่จะเป็นกบฏเพราะไม่มีอาหารพอประทังชีวิต แม้เป็นแบบนั้นอูเฉียนก็ยังยืนกรานที่จะเก็บภาษีในช่วงเวลาอันเลวร้าย จึงทำให้จ้าวซิ่งเหนียนต้องลุกขึ้นแสดงท่าทีเห็นต่างออกมา
“ฝ่าบาทไม่ควรตอบรับเงื่อนไขจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซิ่งเหนียนเอ่ยขึ้น “พวกมันรุกรานพวกเราก่อน! ทั้งยังปล้นท้องพระคลังของพวกเราก่อนจากไปอีก! สุดท้ายยังกล้าเรียกค่าปฏิกรรมสงครามอันไม่เป็นธรรม ทั้งหมดนี้มันมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
“กำลังกล่าวโทษข้างั้นหรือ?” อูเฉียนเริ่มหรี่ดวงตา
“กระหม่อมไม่บังอาจ“ จ้าวซิ่งเหนียนประสานฝ่ามือตอบรับ
“ไม่บังอาจ? อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความในใจแท้จริงของพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่!” อูเฉียนชี้หน้าเหล่าเสนาบดีที่ลุกขึ้นให้การสนับสนุนจ้าวซิ่งเหนียน “เหตุใดไม่ลองพิจารณากันบ้างล่ะว่าหากตอนนั้นข้าปฏิเสธออกไป อาณาจักรสุ่ยเยวี่ยและเฮยสุ่ยจะทำอะไรต่ออีก? มีหรือที่คนของอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยจะยอมถอนกำลังไปเช่นตอนนี้?”
“หากพวกมันไม่ยอมถอย พวกเราก็ต้องสู้จนตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวซิ่งเหนียนตอบกลับ “แม้กระหม่อมเป็นเพียงขุนนางฝ่ายพลเรือน แต่ก็หาได้กลัวความตายไม่ แทนที่จะตอบรับการเหยียดหยามอันรุนแรงเช่นนี้ ขอสู้จนตายเสียยังจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
………………..