ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 687 ตั้งคำถามกลางที่ประชุม
บทที่ 687 ตั้งคำถามกลางที่ประชุม
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากลัวตายงั้นหรือ?” อูเฉียนเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว กระทั่งผุดเส้นเลือดดำขึ้นมาบนหน้าผาก
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซิ่งเหนียนประสานมือตอบกลับ
“ไม่กล้า? อะไรที่เจ้าไม่กล้ากันแน่!” อูเฉียนเผยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ายินดีตอบรับเงื่อนไขนี้หรือ? คิดว่าข้าเต็มใจที่จะลงนามกับสัญญาอันน่าอับอายนี้รึไง? ข้าทำทั้งหมดนี่ก็เพื่ออาณาจักรหนานปิงทั้งสิ้น!”
น้ำเสียงของอูเฉียนเริ่มดังมากขึ้น และประโยคสุดท้ายแทบจะเป็นการตะโกน น้ำเสียงองอาจที่เจือปนด้วยโทสะจึงดังก้องภายในโถง
“ขอฝ่าบาทระงับโทสะลงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าเสนาบดีในห้องโถงต่างคุกเข่าลงพร้อมเอ่ย
“ระงับโทสะ? ให้ข้าระงับทำไม? ข้าต้องอดทนกับภาระอันหนักอึ้งนี้และการดูถูกเหยียดหยาม แต่พวกเจ้ากลับไม่คิดที่จะเข้าใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาแต่คอยต่อว่าและบอกว่าข้าละโมบ อีกทั้งยังรักตัวกลัวตาย ทำประเทศสูญเสียอำนาจและถูกเหยียดหยาม มีตรงไหนที่ข้าควรระงับโทสะ?!” อูเฉียนเอ่ยถามเสียงดัง
“ฝ่าบาท ใต้เท้าจ้าวไม่ได้ประสงค์ที่จะล่วงเกินพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะเขาห่วงชะตากรรมของบ้านเมืองมากจนเกินไป”
“ขอฝ่าบาททรงระงับอารมณ์พ่ะย่ะค่ะ พวกเราไม่ได้มีเจตนาต่อว่าแม้แต่น้อย”
เหล่าเสนาบดีที่สนับสนุนอูเฉียนและใกล้ชิดมาตั้งแต่ก่อนขึ้นบัลลังก์ ตอนนี้ต่างเอ่ยกันขึ้นมา ทั้งหมดคือข้อแก้ตัวให้อูเฉียน และขณะเดียวกันก็ช่วยใส่ความพวกจ้าวซิ่งเหนียนไปด้วย
อูเฉียนมองจ้าวซิ่งเหนียน เขาทราบดีอยู่แก่ใจว่าส่วนหนึ่งของราชสำนักไม่ได้สนับสนุนให้ตนเองขึ้นครองบัลลังก์ และจ้าวซิ่งเหนียนก็คือหนึ่งในนั้น ก่อนครองบัลลังก์ ครั้งยังเป็นองค์ชายสี่ เขาเคยพยายามผูกมิตรกับอีกฝ่ายแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเลือกตีตัวออกห่างและเว้นระยะเสียด้วยซ้ำ
หลังอูเฉียนครองบัลลังก์ เขาย่อมสนับสนุนบรรดาผู้ให้การสนับสนุนเดิมของตนเอง รวมถึงจัดการกับผู้ที่เคยเว้นระยะกับตนด้วยเช่นกัน เขาคิดอยากเล่นงานจ้าวซิ่งเหนียน แต่อีกฝ่ายคือเสนาบดีที่อยู่มานาน มีรากฐานหยั่งลึกในราชสำนัก ครอบครองทั้งเส้นสายและอิทธิพล หากคิดไล่อีกฝ่ายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นอูเฉียนจึงต้องพยายามทำทีละเล็กทีละน้อย
และอูเฉียนก็ไม่ได้คาดว่าจ้าวซิ่งเหนียนจะต่อว่าตนเองอย่างเปิดเผยกลางโถงเช่นวันนี้ มันจึงทำเขาโกรธพร้อมกับเล็งเห็นโอกาสเล่นงานอีกฝ่ายให้จมแผ่นดิน
“ในเมื่อใต้เท้าจ้าวห่วงบ้านเมืองถึงเพียงนั้น ก็คงต้องถึงคราวยุติหน้าที่เสนาบดีกรมคลังแต่เพียงเท่านี้ จะได้ไปรับใช้กองทัพดังสมใจอยาก” อูเฉียนมองจ้าวซิ่งเหนียนพร้อมเอ่ยขึ้น
“ขอฝ่าบาทพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ใต้เท้าจ้าวเพียงแค่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปบ้าง ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูงพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าจ้าวทราบดีว่าทำผิดจึงไม่ได้โต้แย้งใดไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ“
จ้าวซิ่งเหนียนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนมาโดยตลอด ปัจจุบันก็แก่ชรามากแล้ว หากถูกส่งไปยังสนามรบ เช่นนั้นมันจะต่างอะไรกับการส่งไปตาย? บรรดาผู้ที่นับถือจ้าวซิ่งเหนียนและมีสัมพันธ์อันดี ย่อมไม่อาจทนมองผู้เฒ่าถูกส่งไปตายเช่นนั้นได้
ขณะที่อูเฉียนเห็นกลุ่มคนเอ่ยปากแทนจ้าวซิ่งเหนียน มันกลับเป็นอีกครั้งที่ทำให้ตระหนักได้ถึงอำนาจที่อีกฝ่ายมีในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงยิ่งหมายมั่นจะใช้โอกาสนี้กำจัดอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง
“เมื่อครู่จ้าวอ้ายชิงเพิ่งพูดเองว่ายินดีสู้จนตายกับอาณาจักรเฮยสุ่ยและสุ่ยเยวี่ย เหตุใดตอนนี้ไม่กล้าไปเสียแล้วเล่า?” อูเฉียนเมินเฉยคำขอทั้งหลายที่ปรารถนาดีช่วยอีกฝ่าย ทั้งยังใช้คำพูดของอีกฝ่ายยอกย้อนโต้กลับ
แต่การที่ผู้ปกครองอาณาจักรคนหนึ่งใช้วิธีการเช่นนี้บีบบังคับเสนาบดีให้ถูกเขี่ยพ้นทาง มันออกจะเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูไปบ้าง ในความเห็นของเหล่าเสนาบดีในที่นี้ พวกเขาต่างกำลังปรามาสอูเฉียนยิ่งกว่าที่เคยเป็น
“หรือตอนนี้ไม่กล้าแล้วกัน?” อูเฉียนทั้งผลักดันและเร่งเร้า ทำให้จ้าวซิ่งเหนียนไม่อาจกลับคำหรือเปลี่ยนคำ
“ไม่มีใครคัดค้านก็ตามนั้น!” อูเฉียนตอบกลับ “ถ่ายทอดพระราชโองการออกไป! ถอดถอนจ้าวซิ่งเหนียนจากตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง แต่งตั้งขึ้นเป็นขุนพลวางแผนสู้รบ และให้ไปรายงานตัวแก่กองทัพทันที!”
“ขอฝ่าบาทพิจารณาอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอฝ่าบาทยกเลิกพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกลุ่มเสนาบดีเห็นอูเฉียนกำลังตัดสินใจกระทำเกินเลย จนถึงขนาดถอดถอนจ้าวซิ่งเหยียนที่เป็นเสนาบดีกรมคลัง พวกเขาก็ตื่นตระหนกตกใจจนลุกขึ้นยืน เพื่อเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวอย่างจริงจัง กระทั่งผู้ที่ไม่ได้ลุกยืนยังต้องพูดแทนชายชรา ทั้งยังมองว่าอูเฉียนกำลังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่ไม่พอใจก็ขว้างปาสิ่งของ เพราะถึงขั้นถอดถอนตำแหน่งกันเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
หรือนี่จะเป็นการล้างแค้นอย่างเปิดเผย?
แท้จริงแล้วกว่าคนผู้หนึ่งจะประสบความสำเร็จจนมีตำแหน่งเช่นเสนาบดีได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ หลายคนจึงเห็นว่าอูเฉียนและจ้าวซิ่งเหนียนไม่ลงรอยกัน ดังนั้นการที่อูเฉียนจะไม่โปรดปรานจนไม่ชอบหน้าชายชราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าเพียงเพราะการโต้แย้งกลับต้องทำถึงขนาดนี้ มันเป็นการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่โง่เขลา อีกทั้งยังเป็นประหนึ่งเด็กน้อยเอาแต่ใจ มันไม่ใช่พฤติกรรมที่จักรพรรดิผู้หนึ่งพึงกระทำเลยแม้แต่น้อย
จ้าวซิ่งเหนียนมองบรรดาคนที่พูดแทนตนเอง จากนั้นจึงมองอูเฉียนด้วยสีหน้าสงบนิ่งไม่ไหวติง ใจของเขาทราบดี ยิ่งผู้อื่นพูดแทนเขามากเท่าไหร่ โอกาสที่จะยังได้เป็นเสนาบดีกรมคลังก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
อูเฉียนไม่ชอบหน้า กระทั่งหวาดกลัวตนเสียด้วยซ้ำ จ้าวซิ่งเหนียนทราบดีอยู่แก่ใจ หากเป็นคนอื่นคงหาทางเอาอกเอาใจเข้าหาอีกฝ่าย หรือไม่ก็เก็บตัวให้เงียบประหนึ่งล่องหน เนื่องจากอีกฝ่ายคือจักรพรรดิแห่งหนานปิง
แต่จ้าวซิ่งเหนียนไม่เลือกหนทางเหล่านั้น เขาเลือกที่จะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง บางทีนับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืน ก็คงไตร่ตรองถึงสถานการณ์เช่นปัจจุบันเอาไว้แล้ว
“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวซิ่งเหนียนคุกเข่าลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมเอ่ยตอบรับพระราชโองการของอูเฉียน
อูเฉียนที่เห็นเรื่องราวเป็นไปเช่นนี้จึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา อย่างน้อยตัวปัญหาในสายตาของเขาก็พ้นจากพระราชสำนักได้เสียที
เนื่องจากยังมีคนที่ไม่ชอบตนเองอยู่อีกมาก เขาจึงหมายมั่นจะกำจัดอุปสรรคทั้งหมดให้พ้นทาง โดยไม่ให้เหลือเอาไว้แม้แต่คนเดียว!
“ฝ่าบาท ข้ามีความคับข้องในใจพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าฝ่าบาทจะช่วยไขความกระจ่างก่อนข้าจะไปจากที่นี่” จ้าวซิ่งเหนียนโพล่งคำถามพร้อมจ้องตาอูเฉียน
“มีอะไรล่ะ?” อูเฉียนที่กำลังอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจหากจะต้องสนทนากับอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย
“มีข่าวลือว่าการที่หน่วยลับจากอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยลักลอบเข้าวังมาได้นั้นเป็นฝีมือของฝ่าบาท มันทำให้ข้านึกสงสัยว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่พ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซิ่งเหนียนมองตาอูเฉียนพร้อมเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ตอนนี้หากมีเข็มสักเล่มหล่นลงพื้นก็คงได้ยิน ภายในโถงเงียบสงัด เหล่าเสนาบดีต่างแตกตื่นกับคำถามของจ้าวซิ่งเหนียน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการที่กำลังบอกว่าอูเฉียนเป็นคนฆ่าเชื้อพระวงศ์ที่เหลือจนหมดสิ้น
ทว่าพวกเขาก็ได้แต่เก็บความในใจนี้เอาไว้ เพราะพวกเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้มาตลอดเช่นกัน ว่าหน่วยลับดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับอูเฉียนจริงหรือไม่
“วาจาไร้สาระ!” อูเฉียนทุบบัลลังก์มังกรอย่างรุนแรงพร้อมถลึงตามองจ้าวซิ่งเหนียน “วาจาไร้สาระทั้งสิ้น มันเป็นการใส่ความ ข้าหรือจะทำแบบนั้น? ข่าวลือนั่นก็เป็นได้เพียงข่าวลือที่พยายามจะใส่ร้ายข้า!”
เมื่อเห็นอูเฉียนสูญเสียการควบคุมอารมณ์จนโกรธกริ้ว สีหน้าของทุกคนในที่นี้ต่างต้องแปรเปลี่ยน พร้อมเกิดความคิดในใจขึ้นมา
………………..