ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 96 น้ำซุป
บทที่ 96 น้ำซุป
บทที่ 96 น้ำซุป
“รวมพล! ฝึกซ้อมต่อ!”
ขณะอู๋ฝานกำลังพูดคุยกับหนิวเอ้อและคนอื่น เสียงของโจวซานก็ดังขึ้นในลานกว้าง ผู้คนที่กระจัดกระจายทั่วทุกที่ พลันต้องมารวมตัวอีกครั้งแม้ไม่ยินดี เพื่อเริ่มการฝึกซ้อมต่ออีกครั้งหนึ่ง
ด้วยความแข็งแกร่งและความว่องไวสูงล้ำ ความอดทนต่อการฝึกของอู๋ฝานจึงมีมากยิ่งกว่าคนอื่น ตอนที่หลายคนเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง ตัวเขายังคงปกติดี และอัตราการหายใจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เรื่องราวนี้จึงเป็นเหตุให้ทุกคนในหน่วยเกิดนับถืออู๋ฝาน
ภายหลังฝึกซ้อมหนึ่งวัน ทุกคนต่างเหนื่อยล้า กระทั่งว่าคนแข็งแรงอย่างหนิวเอ้อ ก็ยังต้องผ่อนลมหายใจออกมา เพียงแต่อู๋ฝานไม่มีความเกียจคร้านแม้สักนิด เรียกได้ว่าสภาพดีกว่าคนอื่น
ถึงจุดนี้ แม้กระทั่งโจวซานที่เฝ้ามองมาโดยตลอด ก็ยังต้องจ้องมองมา
“หัวหน้า ไม่เหนื่อยเลยงั้นหรือ?” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเอ่ยถามขณะนั่งพักกับพื้น หอบหายใจหนักหน่วย สายตามองอู๋ฝานด้วยความนับถือ
เจิ้งเสี่ยวลิ่วเป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเฉียบคม และยังอ่อนเยาว์กว่าอู๋ฝาน
ในยุคสมัยนี้ยังมีคนไม่รู้หนังสืออยู่อีกมาก โดยเฉพาะกับชนบทไกลห่าง ที่ซึ่งมีน้อยคนจะอ่านหนังสือออก ดังนั้นธรรมเนียมการตั้งชื่อบุตรหลาน จึงเป็นเหมือนเจิ้งเสี่ยวลิ่วและหนิวเอ้อ ที่ชื่อของพวกเขาค่อนข้างเรียบง่ายตรงไปตรงมา*
“ไม่เหนื่อย” อู๋ฝานตอบกลับ
ต่อให้ไม่นำค่าสถานะของอุปกรณ์บนร่างกายของอู๋ฝานมานับ ลำพังตัวเขาที่เลเวลสาม ร่างกายของเขาจึงฟิตกว่าคนธรรมดาถึงสามเท่า เรียกได้ว่าไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเทียบเปรียบได้
“หัวหน้า ท่านน่าทึ่งเกินไปแล้ว ใส่อุปกรณ์เต็มชุดขนาดนั้นฝึกฝน กลับยังไม่เหนื่อยเลยด้วยซ้ำ” หนิวเอ้อพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกนับถือ
นับตั้งแต่พ่ายแพ้ต่ออู๋ฝานอย่างชัดเจน หนิวเอ้อก็เกิดความรู้สึกนึกนับถือต่ออู๋ฝาน คนเช่นพวกเขาที่ไม่มีอุปกรณ์สวมใส่อะไร ฝึกซ้อมทั้งวันยังเหนื่อยล้า ขณะที่อู๋ฝานเป็น ‘ตัวแบกน้ำหนัก’ ระหว่างฝึกฝน กลับไม่เหนื่อยล้าแต่อย่างใด จึงควรค่าแก่คำว่าน่าทึ่ง
แท้จริงแล้ว อู๋ฝานก็คิดอยากสวมอุปกรณ์สวมใส่ที่สวมเอาไว้กับร่างกาย แต่ท่ามกลางอารยชนผู้มีอุปกรณ์สวมใส่น้อยชิ้น เขามีแต่จะเป็นที่สะดุดตา
เพียงแต่ อู๋ฝานและคนอื่นเพิ่งมารายงานตัววันนี้เป็นวันแรก ดังนั้นจึงยังไม่ได้รับการกำหนดสถานที่ใช้พักอาศัย กระทั่งว่าอู๋ฝานต้องการปลดอุปกรณ์สวมใส่ออก มันก็ไม่มีที่ให้เก็บ มันไม่อาจเก็บใส่กระเป๋าหลัง เพราะมีผู้คนอยู่เยอะจนเกินไป จึงไม่สะดวกกระทำแบบนั้น
ดังนั้นแล้ว อู๋ฝานจึงต้องฝืนเป็น ‘ตัวแบกน้ำหนัก’ ในระหว่างการฝึกฝน
เพียงแต่ตัวแบกน้ำหนักเช่นอู๋ฝานกลับเป็นการเพิ่มสายตาที่ผู้คนมองเข้ามาอย่างไม่คาดคิด
“เอาล่ะ หลังพักผ่อนเรียบร้อย ให้ทุกคนลุกขึ้นเตรียมไปทานอาหาร ภายหลังทานอาหาร ให้เขานอนเร็วเสียหน่อย หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ปริมาณการฝึกซ้อมวันพรุ่งนี้จะต้องไม่น้อยไปกว่าวันนี้แน่” อู๋ฝานพูดขึ้นมา
“หัวหน้า คิดว่าหัวหน้าใหญ่จะคิดยังไง? พวกเราก็แค่กลุ่มทหารทั่วไปที่รับผิดชอบหน้าที่ทำการขนส่ง ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกหนักขนาดนี้เลยไม่ใช่หรือ? ดูกองพันอื่นสิ พวกเขาฝึกฝนกันเบาสบาย” เจิ้งเสี่ยวลิ่วบ่นอุบ
“จริงด้วย ผ่านพ้นแค่หนึ่งวัน เหมือนทำหายไปครึ่งชีวิต ถ้าพรุ่งนี้ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็หมดอีกครึ่งชีวิตแล้ว” สมาชิกหน่วยอีกคนหนึ่งบ่นขึ้นมา
อู๋ฝานมองกลุ่มคนจากกองพันอื่นที่อยู่ไกลห่าง พวกเขาพูดคุยพลางหัวเราะ ขณะมุ่งหน้าไปทานอาหารด้วยสีหน้าแจ่มใส เมื่อหันกลับมองกองพันของตนเอง หลายคนยังคงนั่งหอบหายใจกับพื้น กระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงจะก้าวเดินต่อด้วยซ้ำ ความแตกต่างนี้ มันเห็นได้ชัดจนเกินไป
“ผมมองว่ามันเป็นเรื่องดีนะ” อู๋ฝานตอบกลับ “เรียกเหงื่อให้มากกว่าในเวลาปกติ แต่หลั่งเลือดน้อยลงในยามศึกสงคราม! แม้ว่าพวกเราไม่มีหน้าที่ต้องเข้าร่วมสนามรบ แต่การขนส่งเสบียงอาหารและหญ้าก็มีความอันตราย จะเป็นยังไงหากพวกเราถูกศัตรูซุ่มโจมตี? หากว่าฝึกฝนให้จริงจังในเวลาปกติ ตอนที่ประสบพบเจออันตรายจะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น ผมเห็นด้วยกับหัวหน้าใหญ่ที่เล็งเห็นถึงจุดนี้ ดังนั้นการฝึกหนักย่อมไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า”
“หัวหน้าพูดถูกแล้ว!” หนิวเอ้อผู้ที่หันมาภักดีกับอู๋ฝาน พลันเข้าร่วมเห็นพ้องทันทีที่อู๋ฝานพูดจบ “หากว่าไม่ฝึกให้จริงจัง เมื่อไหร่พบเจอศัตรูเข้าจะทำยังไง? ถึงเวลานั้นจะสร้างความดีความชอบได้ยังไง?
แฟนคลับเช่นนี้ ทำเอาอู๋ฝานต้องพึมพำอยู่ในใจ
เพียงแต่ว่าดังคำโบราณกล่าวเอาไว้ ทหารคนผู้ไม่ปรารถนาประสบความสำเร็จไม่นับเป็นทหาร หนิวเอ้อมีแนวคิดดังกล่าว เป็นการพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่ความต้องการ แต่เป็นความทะเยอทะยาน แรงบันดาลใจ เพื่อฝึกให้หนักมากขึ้น และก้าวหน้ากว่าผู้ที่คิดอยากเป็นปลาแต่ว่ายน้ำไม่เป็น
ทั้งอู๋ฝานและหนิวเอ้อมีความเห็นเช่นนี้ คนอื่นย่อมไม่กล้ามีความเห็นต่าง ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเขาเห็นต่าง ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดโจวซาน จึงทำได้ก็มีเพียงแค่ฝึกซ้อมต่อไปอย่างเชื่อฟัง
ภายหลังได้พักผ่อนชั่วระยะหนึ่ง ทุกคนจึงไปทานอาหาร สำหรับหัวหน้าหน่วย อาหารของอู๋ฝานพอจะดีกว่าคนอื่นอยู่บ้าง เวลาเช่นตอนนี้ อู๋ฝานยังได้เห็นถึงชีวิตอันยากลำบากของคนที่อยู่จุดล่างสุดของโลกแห่งนี้
ซุปถ้วยหนึ่งที่มีเพียงน้ำมันลอยกลิ่นหอม เป็นซุปที่ไม่มีเนื้อแม้สักชิ้นหนึ่ง แต่ก็ทำให้หนิวเอ้อ เจิ้งเสี่ยวลิ่วและผู้อื่น ถึงกับต้องน้ำลายสอ และกล้ำกลืนลงไปอย่างยากลำบาก
“ซุปถ้วยนี้ พวกคุณแบ่งกันกินได้” อู๋ฝานบอกขณะส่งถ้วยซุปให้กลุ่มคน
“ทำแบบนั้นได้ยังไง? ถ้วยนี้เป็นของหัวหน้า พวกเราทานไม่ได้หรอก” หนิวเอ้อตอบกลับ
“ถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นเพียงทหารธรรมดา ไม่อาจดื่มซุปนี้ได้หรอก” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบรับ ทว่าสายตายังคงมองซุปประหนึ่งจะมีแสงวิบวับเป็นประกายออกมา
คนอื่นต่างก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน ทว่าสายตาของพวกเขายังคงจับจ้องซุปอย่างไม่วางตา
“ไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ เพราะงั้นซุปถ้วยนี้จึงแบ่งให้พวกคุณ” อู๋ฝานตอบกลับ “บอกให้ซดก็ซดไป หยุดการโต้แย้ง”
อย่างไรแล้ว อู๋ฝานก็ต้องกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง และที่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงไหน ก็ไม่ถึงขนาดจะหาซุปเช่นนี้มาซดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่นานมานี้กิจการของเขายังดีวันดีคืน นับวันยิ่งมีเงินเพิ่มมากขึ้น ไม่แปลกหากว่าจะยิ่งหาอาหารที่ดียิ่งขึ้นมาทาน
ยิ่งไปกว่านั้น อู๋ฝานยังไม่คิดใส่ใจกับซุปเพียงถ้วยหนึ่งที่มีเพียงไขมันลอย
ภายหลังลังเลเล็กน้อย หนิวเอ้อจึงเป็นคนแรกที่รับไปและกล่าวตอบ “หัวหน้าบอกให้ซด เพราะงั้นก็ต้องซด”
สิ้นคำพูด หนิวเอ้อจึงซดไปคำหนึ่ง ถัดจากนั้นจึงส่งถ้วยต่อให้เจิ้งเสี่ยวลิ่วที่อยู่ข้างกาย เจิ้งเสี่ยวลิ่วรับเอาไว้พร้อมตอบคำ “ขอบคุณหัวหน้า”
เขาซดไปหนึ่งคำ ถัดจากนั้นจึงส่งต่อไปยังอีกคนหนึ่ง
ทุกคนไม่มีท่าทีรังเกียจซุปที่คนอื่นยกซดแล้วแต่อย่างใด พวกเขาซดกันต่อครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงซดแค่หนึ่งอึก ทว่าก็มากพอให้อบอุ่นหัวใจ ภายหลังวนครบรอบ ซุปในถ้วยน้อยยังเหลืออยู่อีกมากเสียด้วยซ้ำ
อู๋ฝานย่อมไม่ซด แต่ให้ทุกคนซดอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งวนครบรอบที่สอง ซุปถ้วยนี้จึงหมดลง
“ดีจริง” หนิวเอ้อเลียริมฝีปากตนเอง รสชาติของคราบมันจากซุปเมื่อครู่ยังคงมีอยู่ เขาเอ่ยคำขึ้น “ไม่ได้กินเนื้อมาครึ่งปีได้แล้ว เกือบลืมรสชาติไปว่าเป็นยังไง ไม่นึกเลยว่าวันนี้ได้ลิ้มรสของเนื้อจากหัวหน้า”
“ถูกต้องแล้ว หัวหน้าใจกว้างขนาดนี้ พวกเรายินดีติดตาม” เจิ้งเสี่ยวลิ่วบอกกับอู๋ฝาน “ข้าไม่เคยได้ทานเนื้อมาเกินกว่าครึ่งปีแล้วเช่นกัน ตอนนี้ได้ทานก็เพราะหัวหน้า”
คนอื่นต่างก็มีท่าทีซาบซึ้งใจต่ออู๋ฝานไม่ต่างกัน สายตาที่พวกเขามองอู๋ฝาน มันยิ่งมีความนับถือมากกว่าก่อนหน้านี้
อู๋ฝานนึกไม่ถึงว่าเพียงซุปหนึ่งถ้วยที่เขาไม่ได้ชอบทาน จะสามารถซื้อใจคนเหล่านี้ได้ ชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา มันจะต้องขื่นขมเพียงใดกัน?
*หนิวเอ้อ หมายถึง หนิวที่สอง / เจิ้งเสี่ยวลิ่ว หมายถึง เจิ้งน้อยที่หก