รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ - ตอนที่ 123 หึงหวง
บทที่ 123 หึงหวง
หนีหย่าจูนยิ้มอย่างดีใจ พร้อมกับพูดขึ้น“เยี่ยมไปเลย!รอก่อนนะ รอให้ฉันคนนี้หาคู่หมั้นก่อน จากนั้นฉันก็จะพาคู่หมั้นไป ส่วนเธอกับซือซ่าว จั๋วหรันกับอาซือ พวกเราไปอินเดียกันเป็นคู่ๆ ไปดูสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นจากความรักอันยิ่งใหญ่นั่นกัน!”
“ทัชมาฮาล!”
มู่เทียนซิงดึงสติกลับมา สองตาเต็มไปด้วยดวงดาวเล็กๆที่ส่องประกาย“ฉันรู้สึกประทับใจความรักแบบนั้นมากๆเลย ว่ากันว่าสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์นั้น ภายหลังจากที่ถูกลูกชายกักขัง ทุกวันก็จะยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองทอดออกไปมองยังอัญมณีเล็กๆที่สะท้อนเงาหลุมฝังศพของหญิงอันเป็นที่รัก!”
พอพูดจบ มู่เทียนซิงจู่ๆก็ความรู้สึกสลดใจขึ้นมา“แต่ว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น จริงๆแล้วก็มีน้อยมาก ผู้ชายที่ซื่อสัตย์กับความรักแบบนี้ ก็มีน้อยลง!”
ใบหน้าของสาวน้อย เต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง มองหนีหย่าจูนที่ส่ายๆหัวไม่เห็นด้วย
เขาหลุดขำออกมาเบาๆ พูดกับเธอแบบไม่ต้องคิด“เธออย่าเศร้าเสียใจขนาดนี้สิ ความรักแบบนี้มันก็มีจริงๆนะ ไม่ต้องเอาที่ไหนไกล ดูอย่างฝ่าบาทคนปัจจุบัน ยอมสร้างอ่าวเยว่หยาเพื่อคุณป้าของฉัน หลายปีมานี้ คุณป้าของฉันก็อาศัยอยู่ที่อ่าวเย่หยา!จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แต่ง ฝ่าบาทก็เช่นกัน!ผู้ชายที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง ทั้งยิ่งใหญ่แถมมีสติปัญญา แต่กลับยอมอยู่ตัวคนเดียวเพื่อคุณป้าของฉัน เธอว่าความรักแบบนี้มันไม่ยิ่งใหญ่พออย่างนั้นหรือ?”
แววตาของมู่เทียนซิงลดลงมาเป็นครึ่งวงกลม
จู่ๆเธอก็คิดถึงตอนที่อยู่ในห้องทำงานของหลิงเล่เมื่อตอนเที่ยง ทุกคนล้วนแต่พิจารณาความเป็นไปได้โดยดูจากวงศ์ตระกูล
ชาติกำเนิดของหลิงเล่……
ยกซุปหวานขึ้นมาดื่มไปสองคำ ก่อนจะหันไปพูดกับหนีหย่าจูนด้วยสีหน้าใส่ซื่อ“คนระดับฝ่าบาท ทั้งยิ่งใหญ่และชาญสติปัญญา ในประเทศหนิงไม่มีใครไม่รู้จัก เพียงแต่ว่า มีกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับไม่มีทายาทมาสืบทอดต่อ กลัวว่า……”
หนีหย่าจูนตาเป็นประกายขึ้น หัวเราะออกมาเบาๆ“ไม่ใช่ปัญหาหรอก ฝ่าบาทมีการตัดสินใจของพระองค์เอง มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะสามารถไปกังวลใจแทนได้นะ”
มู่เทียนซิงพยักหน้า แต่กลับพูดวกกลับมาที่เขาอย่างระมัดระวัง“ได้ยินคนพูดกันว่า ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้คุณเป็นราชกุมาร?”
“ไร้สาระ!”
หนีหย่าจูนไม่รู้จะร้องหรือหัวเราะดี
สาวน้อยคนนี้ ชัดเจนแล้วว่าเธอน่าเริ่มรู้อะไรบางอย่าง เริ่มเดาอะไรออกบ้างแล้ว จึงถามเพื่อความมั่นใจ
“ฉันไม่ใช่ลูกหลานของราชวงศ์ ฉันเป็นแค่ทายาทของตระกูลหนีก็แค่นั้น!ถ้าขืนเธอยังพูดมั่วซั่วต่ออีก ถูกทหารอารักขาจับไป ฉันไม่เกี่ยวด้วยนะ!”
“ชิ!”
มู่เทียนซิงยกซุปหวานขึ้นมาดื่มต่อ เธอก็พอจะดูออก เพราะหนีหย่าจูนความรู้สึกไวมาก เลยทำเป็นพูดล้อเล่นกับเธอ!
แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว มันบ่งบอกว่าจะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่นอน
เธอเลียๆริมปาก ขณะที่หนีหย่าจูนกลืนซุปหวานลงคออยู่นั้น จู่ๆสาวน้อยก็พูดขึ้นทันที“พี่หย่าจูน คุณรู้สึกบ้างไหมว่า คุณน่ะ ชอบทำหรือพูดเพื่อปกปิดซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง แต่กลับเผลอทำให้โลกรู้เสียเอง?”
“แค่กๆ”
หนีหย่าจูนรู้สึกจุก สีหน้าอัดอั้นจนแดงไปทั่ว หยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปาก แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมามองมู่เทียนซิง แต่กลับพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้า กระพริบตาจ้องเขาด้วยสายตาร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจสาวเจ้าเสน่ห์ที่ตกลงมายังโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
หนีหย่าจูนส่ายหัวอย่างยิ้มแห้งๆ สาวน้อยที่ดูฉลาดและไม่ธรรมดาแบบนี้ ก็มีแต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์แบบหลิงเล่เท่านั้นที่สามารถควบคุมอยู่!
เวลาหนึ่งทุ่ม หลิงเล่ได้กลับถึงมาแล้ว
สองตาดำที่ดูลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พอเดินเข้ามาในห้องโถง เห็นสองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนโซฟา
มู่เทียนซิงยิ้มแย้มหน้าบาน กอดหมอนไว้ในอ้อมแขน หนีหย่าจูนนั่งยืดตัวอย่างสบายๆ หนึ่งมือจับที่คาง
ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ ยังไงก็ตาม รถเข็นก็ยังไม่ทันจะเข็นเข้าไป ในห้องโถงก็มีเสียงหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนานดังออกมา
จั๋วซีเริ่มตื้อในหัว ค่อยๆชำเลืองตาไปมองสีหน้าของหลิงเล่อย่างระมัดระวัง
ขณะนั้น เขาเข้าใจเจตนารมณ์ของกลอนโบราณประโยคนั้นแล้ว:ขณะแย้มสรวลสนทนา กระโดงกรรเชียงนาวาไหม้เป็นจุน……
“ฮ่าๆ ซือซ่าวกลับมาแล้ว”
ทางด้านของหนีหย่าจูน ก็หันมาเห็นตรงประตูพอดี จั๋วซีเข็นหลิงเล่เข้าไปใกล้ๆ ให้เขาพอได้เห็นอย่างชัดๆ
จั๋วซีก้มหัวเล็กน้อย“คุณชายหนี คุณหนูมู่สวัสดีครับ!”
แต่มู่เทียนซิงกลับลุกขึ้นมาจากโซฟาทัน ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังหลิงเล่!
เธอวิ่งไปด้วยความรีบร้อน จนลืมใส่รองเท้า นิ้วเท้ากลมมนขาวๆดูน่ารัก พอวิ่งมาอยู่ตรงหน้าของหลิงเล่ ก็กระโจนเข้าไปที่รถเข็นของหลิงเล่ทันที!
หลิงเล่ยื่นมือมารับเธออย่างรวดเร็ว กลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ เขาจงใจเลี่ยงขอบมุมของรถเข็นที่มันอาจจะโดนชนได้ง่ายๆ แล้วรับเธอเข้ามากอดในอ้อมแขนไว้แน่น
พอเห็นสองเท้าของเธอเริ่มแดง เขาก็อุ้มสาวน้อยขึ้นมาทันที จ้องมองเธอด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอว่าต้องสวมรองเท้า?”
เธอทำปากมุ่ยๆ พร้อมกับมือเล็กๆขาวๆที่กอดไหล่เขาเอาไว้
“ก็คนเขาคิดถึงคุณนี่นา~!”
คำพูดคำจาหวานหยด อ่อนโยนและอบอุ่น ฟังแล้วหวานเลี่ยนสุดๆ!
พูดไปพลาง เอาแก้มนาบไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ฟังหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ อย่างตั้งอกตั้งใจ
แรงสั่นสะเทือนนั้น ทำให้โลกทั้งใบของเธอหยุดนิ่งลง
หนีหย่าจูนรู้สึกแค่ว่าตัวเองสว่างไสวมาก เหมือนกับไฟสองพันวัตต์ที่เอดิสันคิดค้นขึ้น โดยเฉพาะในค่ำคืนกลางฤดูร้อนแบบนี้“ตะกี้นี่กระโดดราวกับกระต่ายเลย กระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคุณอย่างสงบเงียบ ซือซ่าวนี่ เป็นคนมีสเน่ห์จริงๆ สามารถทำให้สาวน้อยยอมเชื่อฟังอย่างอ่อนน้อมแบบนี้ได้”
ใครจะไปรู้ ผู้ชายที่อยู่บนรถเข็นกลับกอดสาวน้อยไว้แน่น พูดตอบกลับเขามาหนึ่งประโยคดูไม่ออกว่ามาอารมณ์ไหน“นายหึงเหรอ?”
“แค่กๆ……”
อาการไอค่อกแค่กของหนีหย่าจูนกำเริบอีกแล้ว แทบจะสำลักตายกับสามคำที่หลิงเล่พูดออกมา
แต่มู่เทียนซิงกลับเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้กับหนีหย่าจูน“พี่หย่าจูน บางครั้งคุณอาก็อาจจะพูดตรงและแทงใจดำไปนิด เดี๋ยวคุณก็ค่อยๆชินไปเองแหละค่ะ”
หนีหย่าจูนยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับลุกขึ้นเดินไปยังห้องอาหารแทน ตามมารยาทอันดีงามแล้ว เขาควรจะรู้จักถอยออกมาถึงจะถูกต้อง
จั๋วซีเดินเข้ามา สองมือหิ้วรองเท้าของมู่เทียนซิง มาวางไว้ตรงด้านหน้าของหลิงเล่
มู่เทียนซิงที่กำลังจะเอื้อมมือไปรับ แต่มีมือใหญ่ๆโครงชัดๆกลับยื่นไปรับรองเท้าหนึ่งคู่จากจั๋วซีเอาไว้ตัดหน้าเสียก่อน แล้วเอามาสวมให้ที่เท้าเล็กๆของเธอ
จั๋วซีดูๆแล้ว พี่ชายดูแลพี่สะใภ้ดีมากพอแล้ว แต่ว่าซือซ่าวกลับดูแลคุณหมูมู่ดีกว่าเสียอีก
ขณะที่เขากำลังปิดประตูด้วยความสับสนไม่เข้าใจอยู่นั้น พี่ชายจะสวมรองเท้าให้พี่สะใภ้หรือเปล่านะ แต่พอเขาเห็นคุณหนูมู่ที่หน้าแดงด้วยความสุขในตอนนี้ ก็แอบสาบานในใจ:ในอนาคตจะต้องใส่ใจดูแลหญิงอันเป็นที่รัก ให้เธอได้มีรอยยิ้มแห่งความสุขแบบนี้ให้ได้
สวมรองเท้าเสร็จ มือเล็กๆของมู่เทียนซิงไปดันตรงหน้าอกของเขา อยากที่จะลุกออกมาแล้ว
แต่ว่า สองแขนของหลิงเล่กอดล้อมเธอเอาไว้ราวกับกำแพงเหล็ก พูดอะไรก็ไม่ยอมวางเธอลง แถมยังจ้องเธอด้วยแววตาจริงจัง แววตาโฟกัสจนน่าตกใจ“ตะกี้พวกเธอคุยอะไรกัน? ดูสนุกสนานกันขนาดนั้น”