รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ - ตอนที่ 141 มีเขา
ตอนที่ 141 มีเขา
เห็นเพียงชายหน้าตาหล่อเหล่าพราวเสน่ห์ ดวงตาคมคู่นั้นแวววาวประหนึ่งดวงดาว ร่างสูงใหญ่และกำยำนั่นบดบังประตูทั้งบานจนเกือบมิด ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวทว่าเด็ดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
ดวงตาลุ่มลึกที่ยากแท้หยั่งถึงนั่นฉายแววคมดุ พลันชะงักสายตามองหนีหย่าจูนตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
เมื่อเห็นหน้าหนีหย่าจูนชัดๆแล้วเขาจึงจะคลายสีหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือจากจับมือประตูที่เดิมถูกฝ่ามือใหญ่จับไว้แน่น ดวงตาดำขลับปกคลุมไปด้วยความอ่อนโยนที่ปิดไม่มิด พลันหันสายตามองไปยังหนีซีโย่ว
ด้วยความที่ประคับประคองกันมาหลายปี สีหน้าและแววตาที่แปรเปลี่ยนสลับกันไปมาเพียงชั่วครู่แบบนี้ของเขา นอกจากกษัตริย์เทียนหลิงผู้เป็นพ่อแล้ว ก็มีเพียงหญิงตรงหน้านี้เท่านั้นที่ดูออกและเข้าใจ
ที่เขามีท่าทีร้อนรนแบบนี้ ก็เป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะเห็นเด็กคนนั้น
“ลุกขึ้นยืนเถอะ! ไม่ใช่ยุคศักดินาอะไรเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลงหรอก”
โล่เจปู้ก้าวฝีเท้าเข้าไปด้านใน พลางเอ่ยเสียงเย็น
หมอรีบลุกขึ้นยืนจากพื้นทันที ทว่ากลับยังคงอึ้งตกใจจนขาสั่นไม่หยุด ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าชีวิตนี้เขาจะมีโอกาสได้เห็นกษัตริย์เจปู้ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้
มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า เมื่อครั้งยังอายุห้าขวบ ฝ่าบาทที่อยู่ตรงหน้านี้เคยถูกฝูงคนเบียดผลักลงไปในหลุมเสือเมื่อตอนไปเที่ยวเล่นที่สวนสัตว์ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นต่างก็พากันตกใจจนร้องห่มร้องไห้
บางคนถึงกับสลบเหมือดไปเลยก็มี แต่เขากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวเลยสักนิด ซ้ำยังฆ่าเสือดุร้ายตัวเต็มวัยแล้วหนีออกจากความตายด้วยตัวเอง!
“ทั้งตัวผมรู้สึกปวดไปหมดเลย ทำไมถึงเพิ่งมาดูตอนนี้?”
หนีหย่าจูนเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าประตูแล้วก็รีบพูดจาหว่านล้อมออดอ้อนทันที
หมอเงยหน้าขึ้นมอง พลันเห็นโล่เจปู้ที่มองหนีหย่าจูนอย่างเป็นห่วง:”เรื่องของนายมีคนรายงานให้ฉันฟังแล้ว ไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว”
สิ้นเสียง หมอพลันแจ่มแจ้งทันทีและคิดในใจว่า: สมกับเป็นคุณชายหนี
เรื่องที่ลือเล่ากันว่าฝ่าบาทปฏิบัติกับเขาเสมือนลูกแท้ๆคือเรื่องจริงสินะ
“ฝ่าบาท!” โม่หลินทำความเคารพโล่เจปู้
โล่เจปู้เงยหน้ามองเธอ พลันเอ่ยว่า:”พ่อของเธอเฝ้าอยู่ตรงนอกห้อง ไปทักทายเขาหน่อยเถอะ”
“เพคะฝ่าบาท”โม่หลินเดินถอยออกไปตามคำสั่ง
หนีหย่าจูนเพิ่งรู้ ว่าในห้องนี้ยังมีใครอีกคนนอกจากพวกเขาอยู่อีกด้วย
หญิงสาวคนนั้นน่าจะอายุใกล้เคียงกับมู่เทียนซิง หน้าตาเธออาจจะไม่ได้สะสวยเย้ายวนเท่ามู่เทียนซิง แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่าใครเลย ดูเพียงแวบแรกก็รู้ว่าต้องเป็นผู้หญิงที่หยิ่งผยองมากขนาดไหน
ตลอดทั้งทางที่เธอเดินออกไปจากห้อง หนีหย่าจูนได้เห็นเพียงหน้าข้างเธอเท่านั้น
ผิวเนื้อที่ขาวผ่อง รูปร่างที่สมส่วน เส้นผมที่ถูกมัดเกล้าขึ้นเหนือศีรษะ ตัดกับหน้าม้าบางที่บดบังหน้าผากเล็กน้อย และชุดสูทตามแบบฉบับข้าราชการหญิงในวังที่อยู่บนตัว
ที่สำคัญคือ ตรงปกเสื้อสูทสีดำ มีสัญลักษณ์ยศชั้นสี่ที่เป็นสีม่วงด้วย!
หนีหย่าจูนอึ้งเล็กน้อย พลันนึกถึงคนที่คุณน้าเคยพูดถึงตอนคุยโทรศัพท์ ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า:”เธอเป็นน้องสาวของจั๋วซีกับจั๋วหรันใช่ไหม?”
ทว่าหญิงสาวกลับไม่แยแสสนใจเขาเลยสักนิด กลับเปิดประตูเดินออกไปทีเดียวโดยไม่คิดจะเหลียวมองเขาเลย
หนีหย่าจูนที่ชินกับการถูกเอาใจมาโดยตลอดเบะปากอย่างไม่พอใจกับท่าทางเย็นชาของอีกฝ่าย พลางเหล่สายตาไปยังที่อื่นประหนึ่งไม่ใส่ใจ
ตั้งแต่เด็กจนโต มีสาวน้อยคนไหนบ้างที่ไม่วิ่งตามเขา? เขาอุตส่าห์เป็นฝ่ายปริปากถามก่อนทั้งที แต่ยัยผู้หญิงนั่นกลับเมินใส่เขาซะงั้น!
“ฮ่าๆๆๆ!”
โล่เจปู้กลับหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี:”โม่หลินเป็นลูกรักของนั่วยี แล้วฉันก็เฝ้าดูเธอเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก แน่นอนว่าต้องเป็นที่หมายปองของใครหลายๆคนอยู่แล้ว ถ้านายอยากคุยกับเธอ ให้ฉันหาโอกาสให้นายดีไหม?”
วัยหนุ่มสาวนี่มันช่างดีจริงๆเลย อยากรักใครก็รัก วิ่งตามความรักได้อย่างเต็มที่ เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาและมีความสุขมากขนาดไหน
โลเจปู้ถอนหายใจเบา ก่อนจะหันสายตามองไปยังหนีซีโย่วด้วยแววตาที่มีความหมายบางอย่าง
หนีซีโย่วหลบสายตามองไปทางอื่น พลันเอ่ยกับหนีหย่าจูนว่า:”แต่โม่หลินเคยบอกกับน้านะ ว่าก่อนอายุยี่สิบห้าเธอจะไม่คบกับใครทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแต่งงาน คงจะคิดเรื่องนี้อีกทีก็จนกว่าเธอจะสอบ ซ่างหยียศชั้นสองได้นั่นแหละ”
หนีหย่าจูนหมดคำจะพูด:”ผมพูดแค่ประโยคเดียว แต่ทำไมคุณน้ากับฝ่าบาทต้องมาล้อผมเล่นด้วย ผมก็เอาการเอางานเป็นที่ตั้งไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ยังไม่คิดจะยุ่งเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนกัน!”
“ดูสิ นิสัยเหมือนโม่หลินเป๊ะๆเลย” โล่เจปู้ส่ายหน้าอย่างขบขัน:”คุณปู่ของโม่หลินเป็นราชเลขาของพ่อฉัน พ่อของเธอก็เป็นราชเลขาของฉัน เป็นข้าราชการวังหลวงชั้นหนึ่งทั้งนั้น ลูกสาวราชเลขาคนนี้ เหมาะสมพอจะเป็นเจ้าสาวคุณชายหนีได้หรือเปล่า?”
พูดเสร็จ โล่เจปู้ก็หัวเราะขำขันอยู่คนเดียว ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงระคนหยอกล้อกับหนีซีโย่วว่า:”เธอดูสิ ว่าเจ้าหย่าจูนมันหัวสูงขนาดไหน”
หนีซีโย่วกลับเมินเขา ทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด
โล่เจปู้เบะปากไม่พอใจเบาๆ ท่าทางน้อยใจนั่น ทำให้หย่าจูนอดนึกถึงหลิงเล่ตอนเง้างอนยัยเด็กน้อยไม่ได้ สีหน้าแบบนี้เป๊ะๆเลย
จู่ๆเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยสายตาพราวระยับว่า:”จาก ยศชั้นสี่ สอบเลื่อนขั้นถึง ยศชั้นสอง แถมยังก่อนอายุยี่สิบห้าด้วย งั้นปีนี้โม่หลินอายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบเอ็ด”
“ยี่สิบเอ็ด”
โล่เจปู้กับหนีซีโย่วตอบพร้อมกัน จนในที่สุดเธอก็มองเขาแล้วสักที แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็ตาม
แต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โล่เจปู้ดีใจลิงโลด เธอมองเขาแล้ว ในที่สุด สายตานั่นก็สะท้อนเงาของเขาแล้ว!
หนีหย่าจูนยิ้มขำอย่างระอา คุณน้ากับฝ่าบาทที่เป็นแบบนี้ เขาเห็นมาเยอะแล้ว และเห็นจนชินแล้วด้วย
“ในเวลาสี่ปี ก็ต้องสอบสี่ขั้น งั้นแสดงว่าเธอคิดจะสอบปีละขั้นสินะ?” หนีหย่าจูนเผยยิ้มมุมปากอย่างสนใจ:”หืม ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าจะเรียนเก่งอยู่เหมือนกัน ใจกล้าดีนี่ คุณลุงนั่วยีไม่คิดจะใช้เส้นสายช่วยลูกสาวเลยเหรอ?”
ระบบการสอบข้าราชการของประเทศกนิงนั้นเคร่งครัดมาก มีเพียงหนึ่งครั้งต่อปี หนึ่งขั้นต่อครั้ง
ตอนนี้โม่หลินคือ ยศชั้นสี่ ต่อจากนี้ไปก็ยังต้องสอบตั้งแต่ชั้นสาม ไปจนถึง ยศชั้นสอง
นับแต่ที่มีประวัติศาสตร์ประเทศหนิงมา ผู้หญิงที่เคยได้ตำแหน่งข้าราชการวังหลวงสูงสุด ก็มีแค่คุณหญิงหรูเกอและคุณหญิงเยว่หยาเท่านั้น
ทั้งคู่ต่างก็เป็น ยศชั้นหนึ่ง
โล่เจปู้ขำเสียงเบา:”ไม่เลยสักนิด”
แม้ว่าเขาจะไม่มีลูก แต่เขาก็ชอบเด็กมากๆ ฉะนั้นเขาจึงเอ็นดูโม่หลินเป็นพิเศษ เขาเคยคิดจะใช้เส้นสายช่วยโม่หลิน เพราะยังไงถ้าได้เลื่อนขั้นจริงๆก็ต้องเป็นผู้ช่วยของหนีซีโย่วอีกที ให้คนในทำก็ต้องดีกว่าให้คนนอกอยู่แล้ว
ทว่าสาวน้อยกลับไม่ยอม และยังพูดเตือนก่อนสอบว่าห้ามใครมาช่วยซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เสมอ
หนีหย่าจูนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ก็จริง ผู้หญิงท่าทางแข็งกร้าวแบบนั้น ดูก็รู้ว่ารักความยุติธรรมมากแค่ไหน
หนีซีโย่วมองหนีหย่าจูนสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยว่า:”น้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ยังต้องประชุมอีก หลานคุยกับฝ่าบาทไปก่อนเถอะ เดี๋ยวน้าให้โม่หลินคอยอยู่ดูแลเอง”
หนีหย่าจูนพยักหน้า:”ครับคุณน้า ก็ขอให้คุณน้าโชคดีกับการประชุมพรุ่งนี้อย่างสง่าและงดงามนะครับ”
หนีซีโย่วยิ้มขำ:”หึ ปากหวาน”
ทว่าเมื่อหันไปมองโล่เจปู้อีกที เธอก็กลับมาทำสีหน้าเฉยชาดังเดิม:”แล้วเจอกันค่ะฝ่าบาท”
โล่เจปู้ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินไปทางประตูแล้วเอ่ยขึ้นว่า:”คีย์การ์ดห้องเธออยู่ที่ฉัน กลับด้วยกันเถอะนะ!”