รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ - ตอนที่ 156 อิ่มอกอิ่มใจ
บทที่ 156 อิ่มอกอิ่มใจ
มู่เทียนซิงไม่คิดว่าหลิงเล่จะหึงเพราะเรื่องแบบนี้
เธอทำบะหมี่เป็น เรื่องแบบนี้มันน่าพูดตรงไหน
อีกอย่างเธอกับหลิงเล่พึ่งรู้จักกันนับได้ว่ายังไม่นาน แม้ว่าจะรักกัน แต่บางเรื่องยังไม่รู้ก็ไม่ถือว่าแปลก
“คุณลุง คุณชอบกินแบบไหน”
มู่เทียนซิงมองเขา ถามจริงจัง “ฉันทำเป็นแค่บะหมี่ผัดผักใส่หมูเส้น อย่างอื่นทำไม่เป็นนะ”
เธอกังวลเล็กน้อย
ทำอาหารให้โล่เจปู้ นั่นเพราะเธออยากออกห่างสักหน่อย ให้โอกาสพวกเขาสองคนพ่อลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อีกอย่าง ถึงเธอจะทำไม่ปกติก็ไม่เป็นไร เธอดูออกว่า โล่เจปู้กำลังเอาอกเอาใจหลิงเล่ คงไม่รังเกียจอาหารที่เธอทำ
แต่ว่า ทำอาหารให้หลิงเล่ คงไม่ใช่เรื่องแล้ว
รสอาหารของหลิงเล่ นอกจากฉวีซือแล้ว มีใครทำได้อีกล่ะ
ทว่าหลิงเล่กลับมองเธอ ยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน “ผมไม่ชอบบะหมี่อื่นหรอก ผมชอบที่สุดก็คือบะหมี่ผัดผักใส่หมูเส้น”
มุมปากมู่เทียนซิงกระตุก กำลังจะเอ่ยปาก จึงได้ยินเสียงคนที่พึ่งเดินไปนั่งโซฟาดังขึ้น “ฉันก็เหมือนกัน บะหมี่อื่นไม่ชอบหรอก ชอบบะหมี่ผัดผักใส่หมูเส้นที่สุด”
เฮ้อ
มู่เทียนซิงถอนหายใจยาว “ได้ค่ะ ท่านทั้งสอง เดี๋ยวข้าน้อยจะไปบะหมี่ให้เดี๋ยวนี้ ท่านทั้งสองได้โปรดรอสักครู่”
เธอเข็นวีลแชร์ไปที่โซฟา หันหน้าเข้าหาโล่เจปู้
หยิบน้ำพุทราออกจากตู้เย็นสองขวด แล้วเดินไปยัดใส่มือนายท่านทั้งสองคนละขวด ถือว่าดูแลพวกเขาแล้ว หมุนตัวแล้ววิ่งไปยังห้องครัว
หลิงเล่ก็ไม่มองใคร เปิดฝาขวด อ้าปาก ดื่มลงไป
ท่าทางคล่องแคล่ว ดูแล้วงดงาม เหมือนแม่ของเขา
ลูกชายคนนี้ ยิ่งมองยิ่งชอบ เหมือนหลิงเล่เป็นหมูตัวหนึ่ง มีค่าไปทั้งตัว
ตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ เขามองไม่เห็นจุดบกพร่องบนร่างกายของหลิงเล่เลยจริงๆ
หลิงเล่ดื่มน้ำไปครึ่งขวดแล้ว จากนั้นหมุนฝาปิด วางลงบนโต๊ะ ปิดตาลง ทำสมาธิ
มีบางคน สำหรับเขาแล้ว ไม่มองซะจะดีกว่า
โล่เจปู้เห็นว่าเขาหลับตาลง ดวงตาคู่นั้นพลันระอุกวาดมองเขา
ตอนเด็กๆ เขาไม่คิดว่าพ่อของเขาโล่เทียนหลิงจะหล่อเท่าไหร่ อาจจะเพราะได้เจอกันทุกวัน เพราะงั้นความงามจึงเหนื่อยแล้ว
ตอนนี้มองดูใบหน้านี้ เขารู้สึกว่าหล่อจริงๆ
มองขวดที่อยู่ในมือ
อะไรเนี่ย
ข้างหน้าเขียนตัวอักษร เขาดูออกสองตัวอักษรคือพุทรา อีกหนึ่งตัว เปรี้ยว ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ
เปิดออก เขาเลียนแบบท่าทางของลูกชาย ยกขึ้นอย่างงดงาม เทลงไปในปาก
“แค่กแค่ก แค่กแค่กแค่ก”
น่าเสียใจก็คือ โล่เจปู้เกลียดการกินรสเปรี้ยวมาตั้งแต่เด็ก กินเกี๊ยวไม่กินซอสเปรี้ยว ผัดกระดูกเปรี้ยวหวานไม่เคยได้ใกล้ หยางเหมย ส้มคืออะไร เขาไม่เคยคิดจะแตะต้องมัน
รสชาติหวานๆเปรี้ยวๆนี้เมื่อเข้าไปในลำคอ เขาจึงทนไม่ไหวสำลักออกมา
โชคดีที่มือไว ไม่ได้เปื้อนเลอะเทอะตรงไหน
เขาวางขวดในมือลง หยิบทิชชูมาเช็ดปาก พลันนึกถึงที่นี่เมื่อก่อนนี้ เขาเอ่ยกับนั่วยีประโยคนั้น “ฉันจะไปหาเรื่อง ฉันชอบถูกลูกชายฉันหาเรื่อง”
“หึหึหึ ฮ่าๆ”
เขาคิดอยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
ท่าทางสำลักเอง หัวเราะอยู่คนเดียวแบบนั้น ดึงความสนใจจากชายบนวีลแชร์ตรงหน้าได้สำเร็จ
ดวงตาดำขลับมองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องมองโล่เจปู้ “ไม่คิดว่าฝ่าบาทเองก็เล่นอะไรเรียกร้องความสนใจแบบนี้เหมือนกัน เสียมารยาท”
“เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่ดื่มอะไรเปรี้ยวๆไม่ได้”
โล่เจปู้มองเขา อธิบายด้วยท่าทางจริงใจ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง คล้ายไม่เกรงกลัวสายตาของหลิงเล่
ตอนนั้นเอง หลิงเล่ถึงได้ใช้โอกาสนั้น สำรวจใบหน้าของโล่เจปู้
นี่ต่างจากเห็นในโทรทัศน์อยู่บ้าง
เมื่อเขาเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีแบบนี้ น่าจะรู้ว่า ตนเองไม่ได้ต้อนรับเขาเท่าไหร่
แต่เขาก็ยังมา
ในขณะที่หลิงเล่จ้องมองใบหน้าของเขา ในสมองก็ใช้ความคิดไปด้วย
สี่ตาจ้องมองกัน เนิ่นนาน มู่เทียนซิงยกถาดถ้วยอาหารสองถ้วยเดินเข้ามา
เธอวางถ้วยทั้งสองใบลงตรงหน้าพวกเขา วางอุปกรณ์เรียบร้อย เห็นในครัวฉวีซือกำลังเตรียมอาหารหลากหลายชนิด เธอจึงใช้จานเล็กๆแบ่งมาอย่างละเล็กละน้อย ยกเข้ามา
ลุกขึ้น นั่งลงตรงข้างหลิงเล่อย่างเป็นธรรมชาติ
“เอาล่ะ ทานได้แล้วค่ะ”
โล่เจปู้รู้สถานการณ์ของมู่เทียนซิงดี ย้ายจากเมืองชิงเฉิงเพื่อมาตั้งรกรากที่นี่ นับว่ามีฐานะ ไม่คิดว่าจะทำบะหมี่เป็นด้วย
และเมื่อเธอเข้ามา กลิ่นหอมของเนื้อได้อบอวลไปทั่วห้อง
หยิบตะเกียบขึ้นมา ความรู้สึกหลากหลายปะปนกันไปหมด
นี่เป็นบะหมี่ที่ลูกสะใภ้ทำให้เชียวนะ
เมื่อทานเข้าไปคำแรก ใบหน้าแสดงออกถึงความตกตะลึงทันที
ในใจนั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าเด็กสาวทำคงจะไม่ได้อร่อย เตรียมพร้อมคำชมไว้สุดชีวิต แต่ว่า บะหมี่ตรงหน้านั้น หอมมาก อร่อยมากด้วย
“คุณหนูมู่ คุณทำแค่บะหมี่ ก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว”
เขาไม่ได้ชมเกินไป แต่ออกมาจากใจจริงๆ
มู่เทียนซิงชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกตกใจและเป็นปลื้ม มองเห็นสายตาจริงใจจากเขา รู้สึกภูมิใจขึ้นมา
แต่ยังไม่กล้าดีใจออกหน้าออกตา เพราะหลิงเล่ยังไม่ลงมือทานเลย
หลิงเล่มองเธอเล็กน้อย เห็นท่าทางอิ่มอกอิ่มใจของเธอ ในใจก็วางแผนไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเอาน้ำตาลกับเกลือสลับกัน ทำซอสกลายเป็นซอสเปรี้ยว เขาก็จะต้องฝืน ไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว
สิ่งที่เขาถนอม ไม่ใช่บะหมี่ แต่เป็นการลงมือทำอาหารครั้งแรกของเธอ
จากนั้น สูดหายใจเข้าลึก หลิงเล่อ้าปากรับเข้าไปคำแรก ค่อยกลืนลงไป เม้มปาก ดวงตาอ่อนโยนมองมาที่เธอ
มู่เทียนซิงถามอย่างระมัดระวัง “ไม่ ไม่อร่อยหรอ”
หลิงเล่ยิ้ม มือซ้ายคว้ามือเธอ กุมเอาไว้ในมือ มือขวาถือตะเกียบ ก่อนจะกินคำต่อไป จึงเอ่ย “ไม่คิดว่า ฝีมือการทำอาหารของคุณจะดีขนาดนี้ ผมเก็บของมีค่าได้แล้วจริงๆ”
“ฮ่าๆ” เธอรู้สึกเขินอาย “พวกคุณชอบ เดี๋ยวฉันจะทำให้ทุกวันเลย”
“เอาสิ”
“ได้สิ”
ทั้งสองตอบรับออกมาพร้อมกัน ตอบรับเสร็จทั้งสองจึงชะงัก จ้องมองกันสักพัก จึงก้มหน้าทานถ้วยของตัวเองต่อไป
โล่เจปู้ทานไปอีกสองคำ พลันชะงักหยุดตะเกียบ วางไว้อีกฝั่ง เลื่อนถ้วยไปข้างหน้าเล็กน้อย ความรู้สึกที่ไม่อยากทาน เงยหน้ามองนาฬิกาตรงฝาผนัง
เขามองมู่เทียนซิง ถาม “มีกระบอกเก็บความร้อนไหม”
“ทำไมคะ” มู่เทียนซิงไม่เข้าใจ
เขากลับบอก “ฉัน อยากเอากลับไป เอาไปให้เยว่หยาได้ลองบ้าง”
ยังไงก็เป็นฝีมือของลูกสะใภ้ คิดแล้ว เยว่หยาก็คงอยากลองชิมเหมือนกัน
เยว่หยาเคยบอก ตอนสามทุ่ม ให้คนขับรถไปรับเธอ ถ้าเขากลับจากคฤหาสน์จื่อเวยไปยังโรงแรมในตอนนี้ พอดีกับที่เยว่หยากลับโรงแรม จะได้ให้เธอลองชิม