รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ - ตอนที่ 19 สารภาพรัก
ตอนที่ 19 สารภาพรัก
“เทียนซิง~”
เขาจับที่ไหล่ของเธอ เอนตัวเข้าใกล้เธอ มองเธอด้วยความจริงจัง:“แกก็ชอบผมมาตลอดไม่ใช่หรอ อีกอย่างก็เป็นการชอบแบบแฟนกันไม่ใช่หรอ?ครั้งนี้ที่ผมกลับมา ผมก็ได้คิดดีแล้ว ผมกะว่าจะบอกเรื่องของเราให้กับพ่อแม่ของต่างฝ่ายอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นก็ใช้ช่วงเวลาของการปิดเทอมพักร้อนนี้ เราสองคนหมั้นกันก่อนนะ!”
น้องสาวที่ซื่อบื้อของเขานั้น ทุกครั้งที่ได้ยินมู่เทียนซิงสอบถามถึงเรื่องของพี่ชายตนทีไร วินาทีต่อไปเธอก็จะมาเล่าให้เขาฟังจนหมดเปลือก
ดังนั้นหลายปีนี้ เขาเป็นรักแรกของมู่เทียนซิง เป็นผู้ชายที่เธอแอบชอบมาตลอด เขารู้เรื่องนี้มาตลอดเลย
แต่แค่ว่ามู่เทียนซิงอายุน้อยเกินไป เด็กเท่าน้องสาวของเขาเสี่ยวหวี
ถ้าเขาเป็นแฟนกับเธอ มันก็ต้องมีความรู้สึกที่รู้สึกผิดกับน้องสาวของตน
เพราะฉะนั้น เขารอมาตลอด ดูแลปกป้องเธอเสมือนกับพี่ชายแท้ๆของคนทั่วไป รักเธอ เทคแคร์เธอ ตอนที่เธอทะเลาะกับเสี่ยวหวี กระทั่งเขาเองก็เข้าข้างเธอมากกว่า แล้วvsกับเสี่ยวหวีด้วยกัน
ณ ตอนนี้เธอก็อายุ18ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ฟังจากน้องสาวว่าช่วงนี้เธอก็ได้ถามเรื่องของเขาอีกแล้ว ถามว่าเขามีแฟนหรือเปล่า ถามเรื่องราวความรักของเขา ถามได้อย่างระมัดระวังขนาดนั้น เขาฟังยังรู้สึกเอ็นดูเธอเลย
เขาไม่อยากให้มู่เทียนซิงต้องมาคิดกังวลเรื่องนี้ทุกวัน เขาอยากให้เธอได้รับรู้ ผ่านไปนานหลายปี ในใจของเขาก็มีเธอมาตลอด “ฉัน ฉัน พี่เสี่ยวหลง~”
มู่เทียนซิงรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด ทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินจะตั้งตัวทัน!
สมองของเธอก็ได้ปรากฏสีหน้าที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความโต ความงดงาม ความเย็นชา ความบริสุทธิ์ ใบหน้าที่คมชัด!
เธอถอยหลังอัตโนมัติ ไหล่ทั้งสองข้างกลับโดนเสี่ยวหลงกดไว้!
เขามองเธอด้วยความตื่นเต้น:“เทียนซิง ผมนึกภาพจินตนการสีหน้าของคุณที่ได้รับแหวนมาตลอด เคยนึกว่าคุณต้องเซอร์ไพรส์มาก ต้องซึ้งจนร้องไห้ หรือกระทั่งวิ่งเข้ามาในอ้อมกอดของผม แต่ผมไม่เคยนึกเลยว่าแกจะเป็นแบบนี้ แกเป็นอะไร?”
มู่เทียนซิงรีบปิดกล่องแหวน
แหวนสวยงามเกินไป แค่มองเพชรบนแหวน ก็รู้เลยว่าเมิ่งเสี่ยวหลงต้องเสียเงินเยอะแน่ๆ
แต่ว่าเธอไม่กล้ารับไว้
เธอไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น ในสมองคิดแค่ว่า ถ้าคืนพวกสินสอดกลับไปให้กับตระกูลหลิงทั้งหมด เธอกับเมิ่งเสี่ยวหลงจะเป็นไปได้อยู่มั้ย
เธอที่ฉลาดหลักแหลม ภายใต้ความคิดนี้เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่ามันเป็นไปไม่ได้!
ตระกูลหลิงมีชื่อเสียงโด่งดังโดดๆอยู่ที่เจียงตงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อนาคตเธอสามารถหย่ากับหลิงเล่ได้ แต่ว่าไม่สามารถที่จะยกเลิกงานแต่งก่อนที่จะแต่งได้เด็ดขาด ถ้าทำแบบนี้ ก็เหมือนกับการหักหน้าตระกูลหลิง ในอนาคตถ้าตระกูลมู่อยากจะเติบโตธุรกิจที่เมือง M ก็คงยากแล้วหล่ะ!
แล้วถ้าตระกูลหลิงรู้ว่าเธอคืนสินสอดเพราะเมิ่งเสี่ยวหลงละก็ ตระกูลเมิ่งก็คงอยู่ทีเมืองชิงเฉิงยากแล้วเช่นกัน!
เมิ่งเสี่ยวหลงเห็นเธอขมวดคิ้วเหมือนว่าขัดขืน เห็นดวงตาของเธอที่มีหยดน้ำตาสีใสไหลรินออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปโอบกอดเธอเบาๆ จูบลงที่หน้าผากเธอด้วยความเป็นห่วง
“เทียนซิง แกอย่ากลัวนะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แกบอกพี่เสี่ยวหลงมา โอเครมั้ยครับ?”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ
เธอชอบตนเองขนาดนี้ พ่อแม่ของเธอก็ชอบเขามาก พ่อแม่ของเขาเองก็ชอบเธอมากเช่นกัน
ใช่เธอเป็นคุณหนูของตระกูลมู่ ฐานะดีมีทุกอย่างไม่ขาดมือ ;เขาก็เป็นคุณชายของตระกูลเมิ่ง ต่างฝ่ายต่างฐานะดีมั่นคง รู้กันทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมหรือเศรษฐกิจ ระหว่างเขาสองคนก็ไม่ได้มีอุปสรรคอะไรอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงยังปฏิเสธในใจ?
มู่เทียนซิงสัมผัสจูบของเขาที่หล่นลงตรงหน้าผากของตน เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความเป็นห่วงของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา จ้องมองแววตาที่จริงใจของเขา ความเจ็บปวดในใจเหมือนคลื่นกระเพื่อมที่ตกลงไปในทะเลสาบ เป็นคลื่นเป็นชั้นๆ
นึกถึงผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่บนรถเข็น
แล้วมองสิ่งที่เป็นความจริงอยู่ตรงหน้า คนที่รักเธอเป็นห่วงเธอ รักแรกของตนที่ในที่สุดเขาก็ได้มาสารภาพกับตน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ :“พี่เสี่ยวหลง~พี่สามารถ รอฉันอีกไม่กี่ปีได้มั้ย?”
ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดเมิ่งเสี่ยวหลงก็โล่งอกสักที เขายิ้ม
“คิดอะไรไปเรื่อยเนี่ย ที่ให้แกเปิดห้องให้ แล้วมาสารภาพรักแก ไม่ได้จะทำอะไรแกสักหน่อย”
เชาทนไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแล้วไปลูบผมของเธอ แล้วจับแก้มของเธอ สำหรับผิวพรรณที่นุ่มนิ่มของเธอแล้วทำให้ไม่อยากเอามือออก:“เราสองคนหมั้นกันก่อน สำหรับเรื่องแบบนั้นแล้ว ผมจะรอแกโตก่อนแน่นอน ถ้าแกอยากจะรอสักหลายๆปี รอเราแต่งงานกัน ก็ได้เหมือนกันนะ เทียนซิง ผมจะฟังแกทุกอย่างเลยนะ”
มู่เทียนซิงซึ้งมาก
ซึ้งจนอยากจะร้องไห้ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธอต้องบอกให้เขาได้รับรู้:“ฉัน พี่เสี่ยวหลง พี่เคยได้ยินชื่อตระกูลหลิงมั้ย?ตระกูลหลิงของบริษัทหลิงหวินกรุ๊ป”
“แน่นอน ทำไมหรอ?”เขาอยากหัวเราะ แต่กลับสัมผัสได้ถึงคำพูดที่จริงจังของเธอ จึงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
เธอเหลือบตาไปมองเขาอย่างระมัดระวัง ถามด้วยความเกรง:“คุณชายสี่ของตระกูลหลิงหล่ะ?ก็คือคุณชายคนที่สี่นั้นแหละ”
“คนที่พิการนั้นหรอ?ใบ้ แล้วยังนั่งบนรถเข็น เคยได้ยินนะ ทำไมหรอ?”
“คือ พี่เสี่ยวหลง พี่ฟังฉันค่อยๆเล่าให้พี่ฟังนะ”
เล่า——
หลังจากที่มู่เทียนซิงเล่าให้เมิ่งเสี่ยวหลงฟังทั้งหมดจนหมดเปลือก สีหน้าของเมิ่งเสี่ยวหลงมืดจนไม่สามารถมืดกว่านั้นได้อีก!
เขากระชากกล่องแหวนที่อยู่ในมือของมู่เทียนซิงไปอย่างแรง!
มู่เทียนซิงตะลึงและตกใจมาก จบแล้ว พี่เสี่ยวหลงโมโหแล้ว เขาเอาแหวนกลับไป ไม่ให้เธอแล้ว!
ใครจะไปรู้ ว่าหลังจากที่เธอคิดไปเรื่อยเปื่อย ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับหยิบแหวนฝ่ายหญิงออกมา ดึงแขนของเธอมาแล้วสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วของเธอ!
“เช็คเอาท์ห้องเลยนะ!”
เขาถือกระเป๋าเดินทางขึ้นอีกครั้ง จับมือเธอแล้วเดินไปทางข้างนอก:“เรากลับบ้านด้วยกัน!พอวันรุ่งขึ้นผมจะบอกกับพ่อแม่แกเอง เรื่องนี้แกไม่ต้องเครียดแล้วหล่ะ!”
“พี่เสี่ยวหลง เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เอ้อ จริงๆมันก็ง่ายนั้นแหละ ผ่านไปไม่กี่ปีเดี๋ยวฉันก็จะหย่ากับหลิงเล่เอง”
“การแต่งงานมันไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นๆนะ ผมไม่สนหรอกว่าแกจะแต่งงานกับเขาจริงหรือปลอม และไม่สนว่าพวกแกจะเลิกกันปีไหน ไม่รู้แหละผมไม่มีวันมองแกใส่ชุดเจ้าสาวแล้วไปแต่งงานกับคนอื่นนอกจากผมหรอก!ไม่มีวันแน่นอน!”
“พี่เสี่ยวหลง~”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงงานหมั้น ทุกอย่างมันยังทันนะ!”
ในขณะที่เมิ่งเสี่ยวหลงจับมือของเทียนซิงแล้วลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้าที่จริงจังมาก พบว่าคนขับรถได้หายไปแล้ว
เขาก็เริ่มสงสัย:คนขับรถบอกว่าจะโทรหาที่บ้านแล้วค่อยเรียกเทียนซิงลงมาไม่ใช่หรอ ทำไมพวกเขาสองคนคุยกันชั้นบนตั้งนาน คนขับรถก็ไม่ได้เรียกเธอเลย?
มู่เทียนซิงก็มองไปทางโซฟาพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น กล่าวด้วยความแปลกใจ:“หื้ม คนหายไปไหน?”
ในขณะนั้นพอดี ได้มีเสียงลอยมาจากด้านหลังของพวกเขาสองคน:“คุณหนูมู่ครับ”
มู่เทียนซิงขนลุกแล้วหันหลังไป มองจั๋วหรัน พูดอย่างไม่น่าเชื่อ:“นาย นายอยู่ที่นี้ได้ไงอะ?”
มู่เทียนซิงรู้สึกว่าชอบพูดคุยกับจั๋วซีมากกว่า เพราะว่าจั๋วซีเด็กกว่าจั๋วหรัน สีหน้าก็หลากหลายอารมณ์ พูดง่ายหน่อย
จั๋งหรันมองเธอด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก:“คนขับรถของท่านได้กลับไปแล้ว คุณชายสี่สั่งให้ผมรอท่านอยู่ที่นี้ แล้วส่งท่านกลับไปที่บ้านตระกูลมู่อย่างปลอดภัย”
มู่เทียนซิงยักคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเสี่ยวหลง:“เขาเป็นคนข้างกายของหลิงเล่”