รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ - ตอนที่ 70 ทำให้ตระกูลมู่ได้รู้
บทที่70 ทำให้ตระกูลมู่ได้รู้
“มีบันไดก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”
รปภ.หัวเราะ ส่ายหน้าแล้วมองเมิ่งเสี่ยวหลง พูดต่อว่า “จอโฆษณาจอนี้โดนบังคับด้วยระบบไฟฟ้า มันสามารถเปิดปิดเองได้ หนักมากด้วย อีกอย่างคุณต้องใช้บันไดอะไรถึงจะปีนขึ้นไปถึงความสูงของมันได้?”
เมิ่งเสี่ยวหลงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าร้อนรน “คุณรู้ได้ยังไงว่ามันถูกบังคับด้วยระบบไฟฟ้าครับ?”
“ผมเริ่มทำงานตอนกะเที่ยง อยู่เวรจนถึงพรุ่งนี้ตอนเช้า ประมาณช่วงบ่ายสองมีรถปิ๊กอัพสองคันลากไอ้เจ้าสิ่งนี้มา นอกจากนี้ยังมีเครื่องบูมขนาดเล็กเพื่อยกสิ่งนี้ขึ้นไป ตอนนั้นผมสงสัยเลยลองถามดู ถึงได้รู้ว่าไอ้สิ่งๆนี่คือเทคโนโลยีขั้นสูง เวลาโดนล็อกมันจะยึดอยู่กับเสาเอาไว้ มองแล้วจะเหมือนกับของตกแต่ง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ล็อกไฟฟ้าโดนปลด สามารถใช้รีโมทอินฟราเรดสามารถควบคุมและออกคำสั่งได้ ก็แค่ส่องให้ตรงกับเสาแล้วก็กดปุ่ม มันจะยืดออกโดยอัตโนมัติเหมือนกับซันรูปของรถยนต์และข้างในมีไฟอยู่ด้วย!”
ฟังจบ สีหน้าของมู่อี้เจ๋อก็เปลี่ยนไป “คุณบอกว่าว่ามีรถปิ๊กอัพสองคันลากเข้ามาอย่างนั้นหรอ?”
“ใช่ครับ ส่วนตรงนี้ที่นี่เป็นประตูใหญ่ของวิลล่า ตรงประตูหลังก็มีแบบนี้อีกเสานึง!”
เมิ่งเสี่ยวหลง “……”
รปภ.พูดต่อ “นี่ไม่เท่าไหร่ เมื่อกี้ผมไปซื้อของที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน เห็นที่ป้ายจอดรถข้างทางก็เป็นแบบนี้ จริงๆถนนทั้งเส้นนี้ก็มีแต่โฆษณาอันนี้! ถนนเส้นอื่นผมไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า”
เมิ่งเสี่ยวหลง “……”
ขณะที่มู่อี้เจ๋อกำลังขบกราม รปภ.ก็พูดขึ้นมาอย่างใจกว้าง “จิ๊จิ๊จิ๊ คุณดูชายหญิงคู่นี้ในป้ายสิ ดูแล้วช่างเหมาะสมกันจริงๆนะ ผู้ชายก็หล่อผู้หญิงก็สวย โฆษณาเยอะขนาดนี้แถมยังเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงอีก ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเงินเท่าไหร่! ใครบอกว่าคนรวยไม่มีคู่ไหนรักกันจริง ผมว่านี่แหละรักแท้ ไม่อย่างนั้นจะมีผู้ชายคนไหนที่จะเอาหน้าตัวเองมาขึ้นโฆษณาแบบนี้? มีแต่พวกคุณท่านคุณชายที่รักศักดิ์ศรีทั้งนั้น!”
เมิ่งเสี่ยวหลง “……”
พูดถึงระหว่างตระกูลมู่กับตระกูลเมิ่งในตอนนี้ พวกเขาไม่กลัวว่ามู่เทียนซิงจะรักใครจริงจัง แต่กลัวว่าหลิงเล่จะจริงจัง
มู่เทียนซิงจริงจังกับความรัก ก็คงไม่ถึงพลิกฟ้า เธอไม่ใช่ประเภทยอมทิ้งพ่อแม่เพื่อผู้ชาย
หลิงเล่รู้จักกับรักแท้ ก็พูดยากแล้ว ยังไงเสียใครก็ไม่แน่ใจว่าภูมิหลังของหลิงเล่เป็นอย่างไร
มู่อี้เจ๋อยกมือขึ้นมาตบบ่าเขา พูดออกมาเบาๆ “ถ้าเกิดมันมีอยู่ทุกที่ พวกเราก็ช่างมันเถอะ ตอนเวลามีคนถาม พวกเราก็แค่พูดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“อย่างนั้นตอนนี้จะทำยังไงล่ะครับ?” เมิ่งเสี่ยวหลงยังไม่ยอม “อย่าบอกนะครับว่าจะปล่อยไว้แบบนี้ ปล่อยให้หลิงเล่ทำลายชื่อเสียงของเทียนซิง?”
มู่อี้เจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ มองดูป้ายโฆษณาที่ใหญ่เกือบครึ่งฟ้า ถึงแม้ว่าในรูปลูกสาวเขาจะก้มหน้า แย้มรอยยิ้มที่คล้ายกับดอกท้อที่กำลังจะเบ่งบาน!”
ลูกสาวที่ดีขนาดนี้ ยังไงก็ไม่มีทางปล่อยให้ไอ้พิการนั่นมันเหยียบย่ำฟรีอยู่แล้ว!
แถมยังไม่มีทางที่จะปล่อยให้ไอ้ผู้ชายลึกลับคนนั้น ดึงลงไปในบ่อโคลนด้วยหรอก!
มู่อี้เจ๋อพยายามจัดการกับความคิด คิดว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเป็นระบบค่อยเป็นค่อยไป “กลับ พวกเราไปกัน ลองขับรถวนๆดูให้รอบๆ จำชื่อถนนที่มีรูปของเทียนซิงเอาไว้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเทศบาลเมือง ดูว่าพวกเขาสนใจหรือไม่สนใจ ถ้าเกิดเมินเฉยละก็ ฉันจะไปที่อื่นดู แล้วก็ไปบอกกับคุณปู่หลิงด้วย!”
“ใช่ครับ!” แววตาของเมิ่งเสี่ยวหลงวาววับขึ้นมา “ถ้าเกิดคุณลุงมู่มีวิธี!ก็ควรไปคุยกับหลิงหยวน!ผมไม่เชื่อว่าหลิงเล่จะไม่ฟังคำสั่งของพ่อเขา!”
ประมาณ3ทุ่มเศษๆ มู่อี้เจ๋อขับรถพาเมิ่งเสี่ยวหลงออกไปข้างนอก
พวกเขาลองขับรถวนในชุมชนดูก่อน พบว่าแถวอพาร์ทเม้นท์ก็มีป้ายโฆษณาแบบนี้
พวกเขาออกไปนอกชุมชน ขับรถไปเรื่อยๆ มู่อี้เจ๋อรับหน้าที่ขับรถ เมิ่งเสี่ยวหลงรับหน้าที่จดชื่อถนน
ทั้งสองคนวุ่นวายอยู่แบบนี้ ขับอ้อมไปอ้อมมาทั้งเมืองM ผลจากการนับ สรุปออกมาได้ว่าบนป้ายรถเมล์ของถนนเส้นหลักเมืองM ทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน ถนนเส้นใหญ่ๆ23เส้น หมู่บ้านชั้นนำของเมือง รวมไปถึงพวกห้างที่คนเข้าไปใช้บริการเยอะๆ ทุกแห่งมีป้ายโฆษณางานแต่ง!
เมิ่งเสี่ยวหลงนั่งกดเครื่องคิดเลขในโทรศัพท์อยู่บนรถอย่างโมโห คิดออกมา รวมกับที่หมู่บ้านที่ตระกูลมู่อยู่อีก2อัน ทั้งหมดมี999อัน!
“ไอ้เวรนั่น!” เมิ่งเสี่ยวหลงกัดฟันพูดอย่างโมโห “เทียนซิงพูดไม่ผิด เขามีเงินแต่ไม่รู้จะใช้ตรงไหน!”
มู่อี้เจ๋อจอดรถไว้ข้างทาง รับสมุดจากในมือของเสี่ยวหลงมาดู แววตาก็เข้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เขาเป็นพ่อค้า ยังไงก็ต้องรู้วิธีคิดค่าใช้จ่าย
สมมุติว่าโฆษณาอันนึงราคาหนึ่งหมื่น 999อันก็เท่ากับ 9.99ล้าน นี่ยังไม่นับ มูลค่าต้นทุนที่หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถสั่งเปิดปิดด้วยไฟฟ้า แถมยังมีไฟในตัวอีก
เริ่มจากที่เขาซื้อบริษัทอาหารต่างชาติให้มู่เทียนซิงอย่างไม่เสียดายเงิน แล้วก็ยังมาบอกรักมู่เทียนซิงผ่านวิธีที่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้อีก ในมือหลิงเล่ที่โดนทอดทิ้งคนนั้นน่ะไม่ใช่เงิน มันเป็นใบไม้ต่างหาก!
ตระกูลมู่ๆจริงๆแล้วก็พอจะมีสมบัติของตระกูลอยู่บ้าง 2ปีมานี้ในเมืองMก็เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าตระกูลมู่ทำเกี่ยวกับธุรกิจอุตสาหกรรม ทรัพย์สินต่างๆไม่ได้เป็นเงินไปเสียหมด แต่ยังมีที่ดิน โรงงาน ชื่อเสียงของแบรนด์ โกดังเก็บสินค้ารวมถึงบัญชีลูกหนี้อะไรต่อมิอะไรอีก
ของพวกนี้ถ้าอยากแปรสภาพเป็นเงิน ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง
ในมือของหลิงเล่ก็น่าจะมีของพวกนี้อยู่ แต่ว่าหลิงเล่สามารถเก่งได้ถึงขนาดไม่ได้มีแต่เฉพาะของพวกนี้ แต่เขายังสามารถเอาเงินจำนวนมากออกมาใช้เมื่อไหร่ ตอนไหนก็ได้
นี่มันยุคอะไรกัน?
นี่มันยุคที่มีพ่อก็พึ่งพ่อ มีเงินก็พึ่งเงิน!
มู่อี้เจ๋อเริ่มสับสนเล็กน้อย
นี่มันใช่เรื่องที่หลิงเล่แสดงความรักต่อมู่เทียนซิงตรงไหน?
นี่มันเห็นได้ชัดว่าหลิงเล่กำลังทำให้ตระกูลมู่ตาสว่างอยู่!
ถ้าเกิดพวกเขากล้าที่จะพามู่เทียนซิงไปซ่อนไปแอบไว้ ทำเหมือนหลิงเล่คนนี้เป็นคนนอกแล้วละก็ อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาคนอย่างมู่อี้เจ๋อไม่มีทางจัดการได้
เพราะว่าในสายตาของมู่อี้เจ๋อมันคือเงินจำนวนมหาศาล แต่ในมือของหลิงเล่ไม่ต่างอะไรกับใบไม้
และถ้าหลิงเล่อยากจะมีปัญหากับมู่อี้เจ๋อ การบี้โรงงานทอผ้าซิงชั้นทิ้ง ก็ง่ายไม่ต่างอะไรกับการบี้มดตัวนึง
“ก็แค่ไอ้คนพิการคนหนึ่ง แต่ยังจะดันทุรังแต่งรูปให้ตัวเองยืนได้เหมือนคนปกติ รูปๆนี้แค่ดูก็รู้ว่าปลอม เป็นรูปที่แต่งขึ้นมาในคอม!”
เมิ่งเสี่ยวหลงพูดอย่างโมโห มองหน้าหลิงเล่ในป้ายโฆษณา ยิ่งดูก็ยิ่งโมโห “ต่อให้สวมเสื้อคลุมมังกรก็ใช่ว่าเป็นองค์รัชทายาท! ต่อให้แต่งรูปก็ไม่มีทางยืนขึ้นมาได้เหมือนกัน! มัวแต่ทะเยอทะยานกับเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นคนพิการ ยังจะออกมาแสดงความโง่ตัวเองอีก!
ที่ใครเขาพูดกันว่าเวลาที่ศัตรูหัวใจเจอกันก็ยิ่งหงุดหงิด ความหมายก็คงจะประมาณนี้
ถ้าให้เมิ่งเสี่ยวหลงให้คะแนนหลิงเล่ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง
ในรูปสายตาตอนหลิงเล่กำลังจูบลงบนหน้าผากของมู่เทียนซิง มันอ่อนโยนเสียจนแทบจะน้ำตาจะไหล แต่พอลองมาคิดอีกที เวลาปกติดวงตาของหลิงเล่นั้นลุ่มลึกและมืดดำ ที่หลังของมู่อี้เจ๋อถึงกับมีเหงื่อผุด
ซือซ่าวคนนี้มีจิตใจที่ลึกยากแท้หยั่งถึง ทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยม
ส่งสมุดคืนให้เมิ่งเสี่ยวหลงอย่างครุ่นคิด มู่อี้เจ๋อสูดหายใจเข้าลึก “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”