รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - ตอนพิเศษ 3
คิ้วของทนายรยูที่พยายามจะไม่แสดงสีหน้าเลิกขึ้นหลังจากได้ฟังคำพูดที่คิดไม่ถึงจากอึนคัง
“อยู่ด้วยกัน ไม่เห็นได้ข่าวว่าแต่งงานกันแล้ว…”
“เปล่าค่ะ เราไม่ได้แต่งงาน”
อึนคังตอบเสียงใส ความสดใสอย่างไม่น่าเชื่อกวนอารมณ์ของทนายรยู
“หมายความว่าชายหญิงที่ยังโสดทั้งคู่มาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันโดยไม่ได้แต่งงาน?”
“ค่ะ เราอยู่ด้วยกัน มีแมวของคุณจีฮวันกับหมาของฉันด้วย เป็นสี่ชีวิต”
“อยู่ด้วยกันแบบแชร์บ้าน เป็นเจ้าของร่วมกันอย่างที่คนหนุ่มสาวสมัยนี้นิยมกันน่ะรึ”
คำตอบจากอึนคังต่างกับความพยายามที่จะคิดไปในทางที่ดีของทนายรยู
“เปล่าค่ะ ไม่ได้แชร์บ้านกัน อยู่กันแบบคนรัก คุณจีฮวันกับฉันเรากำลังคบกันอยู่ค่ะ”
ตั้งแต่วันที่เจอกันที่อนุสรณ์สถาน สายตาของจีฮวันที่มองผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา สายตานั้นติดอยู่ในใจของทนายรยู แล้วในที่สุดก็เป็นจริง
“คบกันได้นานเท่าไหร่ถึงได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน… หนุ่มสาวสมัยนี้ใจร้อนหุนหันพลันแล่นกันหมดเลยรึไง”
“คบกันได้ห้าเดือนหน่อยๆ แล้วก็อยู่ด้วยกันมาได้เดือนกว่าแล้วค่ะ ท่านอาจจะคิดว่าเราใจร้อนหุนหันพลันแล่น แต่พวกเราคิดกันดีแล้วถึงได้ตัดสินใจ”
เน้นย้ำทีละคำอย่างไม่ยอมแพ้ จ้องตาอย่างผ่าเผยถึงการอยู่ด้วยกัน…
ท่าทางทะนงตัวของอึนคังแสดงชัดอย่างไม่มีอะไรต้องหลบซ่อนและลังเล ความอดทนของทนายรยูก็ค่อยๆ ดิ่งลง
“เข้าใจว่าเป็นคนไม่คิดหน้าคิดหลัง จะทำอะไรก็ทำเลย แต่ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่กลัวอะไรเอาเสียเลย รวดเร็วตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันในสภาพที่ยังไม่แต่งงาน มาอยู่กับผู้ชายแบบนี้พ่อแม่หนู”
“ทราบค่ะ พ่อเป็นคนมาช่วยย้ายบ้าน”
ทนายรยูนิ่งอึ้งอีกครั้ง ที่อนุสรณ์สถานดูตกใจที่เจอกันโดยไม่ทันได้เตรียมตัว แต่วันนี้ต่างออกไป และทำเขาอึ้งอีกรอบ
ทนายรยูจ้องมองอึนคัง รู้สึกเสียศักดิ์ศรีไม่น้อย กำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือไง เพิ่งเคยเจอกับคนที่คาดเดาไม่ได้แบบนี้
จะพยานหรือลูกความ ถ้าเขาจ้องขนาดนี้ เก้าในสิบจะทนแรงกดดันไม่ได้เตรียมหลบตา แต่ดวงตาดำโตของอึนคังสบตากับอย่างสงบไม่หวั่นไหว ความจริงนี้ทำให้ทนายรยูยิ่งโกรธ
“ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติ ลูกสาววิ่งมาบอกว่าจะย้ายไปอยู่กับผู้ชาย ก็ต้องห้ามปรามกัน แต่นี่กับโห่ร้องแสดงความยินดีให้งั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ พ่อไม่ได้โห่ร้องแสดงความยินดี ตอนแรกท่ายก็คัดค้าน เป็นห่วงว่าจะมีปัญหาวุ่นวายอย่างถ้าเกิดต้องแยกทางหรือหย่ากัน แต่สุดท้ายท่านก็เชื่อและเคารพในการเลือกและตัดสินใจของฉันค่ะ”
เฮอะ การเลือกและการตัดสินใจ? เชื่อและเคารพ? พูดซะดูดี อยากรู้จักให้ดูพ่อแม่ ทุกอย่างชัดเจน ยอมให้ลูกสาวอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชาย โดยอ้างว่าเคารพในการเลือกและตัดสินใจของลูกให้ตัวเองดูดี ผู้หญิงที่ธรรมดาทั้งรูปร่างหน้าและการศึกษา จะได้คบกับผู้ชายอย่างจีฮวัน ทำเป็นยอมแพ้แล้วยัดเยียดลูกสาวให้
คนเสนอให้อยู่ด้วยกันอาจเป็นผู้หญิง คงอ้อนวอนจีฮวันให้มาอยู่ด้วยกัน จีฮวันที่ใจอ่อนก็ยอมให้ผู้หญิงหมดอย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น
“ความจริง ฉันเองก็ไม่ได้ชอบใจค่ะ แต่เพราะคุณจีฮวันดื้อมากๆ พ่อก็เลยค้านไม่ได้”
“อะไรนะ”
“โดยปกติ ฉันเป็นพวกใช้ชีวิตเหมือนนกฮูกทำงานกลางคืนจนถึงเช้ามืด ส่วนคุณจีฮวันก็เป็นคนทำงานใช้ชีวิตตอนกลางวันปกติ เรียกว่าต่างกันตั้งแต่เวลาการใช้ชีวิต การมาอยู่ด้วยกันจึงเป็นอะไรที่สุดขั้วมากๆ ไม่รู้ว่าทราบไหมว่าคุณจีฮวันเป็นคนที่สะอาดและเรียบร้อยมากๆ แต่ฉันเป็นคนที่ห่างไกลความเป็นระเบียบ ถ้าอยู่ด้วยกัน คุณจีฮวันคงจะเครียดมากๆ”
“เรื่องนั้น”
“คนสะอาดมากับคนสกปรกมาอยู่ด้วยกัน คนสกปรกอาจไม่รู้ว่าตัวเองสกปรก เลยไม่เครียด แต่คนสะอาด พอได้มาเห็นความสกปรกที่ไม่เคยเจอ อาจจะเครียดเป็นสองเท่า โดยเฉพาะถ้าเดตไลน์ใกล้เข้ามา บ้านฉันนี่จะรกสุดๆ ถ้าอยู่ด้วยกัน รยูจีฮวันคงทนไม่ได้แม้แต่วันเดียวและเผ่นหนีไปแน่นอน แต่คุณจีฮวันกลับยืนยันว่างั้นยิ่งต้องอยู่ด้วยกัน”
“อะไรนะ”
“รยูจีฮวันว่าฉันเป็นคนซกมกและไม่ระมัดระวัง ยิ่งต้องมีคนช่วยดูแลอยู่ข้างๆ เพราะถ้าเกิดฉันล้มโครมไป… คุณจีฮวันเป็นลูกชาย คุณทนายก็คงจะทราบว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยเหตุผล, การโน้มน้าว, คำพูดแบบนี้ เขายังมีสติอยู่ไหมนะ การย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันเนี่ยนะ อ่อ แต่ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเอาแต่พึ่งพาและรบกวนคุณจีฮวันนะคะ แหะๆ”
“มาเล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้ เจตนาที่แท้จริงๆ คืออะไร”
“ฉันน่ะเหรอคะ”
อึนคังกะพริบตาปริบๆ
“รยูจีฮวันมาขอร้องอ้อนวอนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ภูมิใจขนาดนั้นเลยใช่ไหม”
ทำมาอ้างนู่นนี่ แต่เจตนาก็คือเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองด้วยการบอกว่าจีฮวันเป็นคนอยากย้ายมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ภูมิใจ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ก็ถ้าถามว่าซื้อบ้านด้วยเหรอ ฉันก็เล่าไปตามความจริง ถ้าไปถามคุณจีฮวัน ก็จะได้ยินคำตอบเดียวกัน ยังไงคุณทนายก็รู้เรื่องแล้ว ฉันไม่อยากซ่อนหรือโกหกปิดบัง และฉันก็ไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง พวกเราเป็นคนรักไม่ใช่คู่ทำสัญญา”
เห็นท่าทางแล้วยิ่งเดือด แต่ทนายรยูยังคงตามจิก
“ในฐานะผู้หญิงคงจะเป็นการทำธุรกิจที่มองไม่เห็นการขาดทุนเลยสินะ ผู้ชายที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตา การศึกษาและหน้าที่การงานมาขอให้อยู่ด้วยกัน คงจะเชิดเต็มที่ ท่าทางบ้านจีฮวันก็คงจะเป็นคนหา การเงินต่างๆ จีฮวันก็รับผิดชอบ”
“เรื่องบ้านน่ะ ฉันเป็นคนหาค่ะ”
อาการนิ่งอึ้งของทนายรยูปรากฏให้ดวงตากลมโตของอึนคังให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ไม่ใช่บ้านใหม่หรอกค่ะ เป็นบ้านสองชั้นมีสวนเล็กๆ ในหมู่บ้านแถบชานเมืองอิลซาน เราสองคนต้องมีห้องทำงานกันคนละห้อง มีสัตว์เลี้ยงด้วย ที่นี่รวมทุกอย่างที่เราต้องการ เลยอยากหาบ้านที่มีทั้งห้องเยอะๆ แล้วก็มีสวน อ๋อ แน่นอนว่าเป็นการทำสัญญาเช่าระยะยาวน่ะค่ะ”
ทนายรยูพยายามไม่แสดงอาการตกใจ พูดเหมือนราคาบ้านถูกมากกว่าโซล ถ้าเป็นเจ้าของบ้านสองชั้นมีสวน เช่าแค่ไม่กี่ปีก็หลายร้อยล้านแล้วไม่ใช่เหรอ?
“คุณจีฮวันเองก็ตั้งใจรวบรวมค่ะ แต่เขามีเป็นทรัพย์สินอื่นๆ มากกว่าเงินสดที่ใช้ได้เลย จะไปถอนเงินฝากเงินสะสมออกมาก็ยังไงอยู่ ก็เลยเอาแค่เงินที่ได้จากคอนโดอย่างเดียว จะได้ไม่สับสน”
ในหัวของทนายรยูเริ่มคำนวณในชั่วพริบตา ค่าเช่าคอนโดก็แค่หนึ่งในสามของราคาบ้านแบบอยู่อาศัยคนเดียว แล้วเงินที่ต้องจ่ายอีกสองในสามที่เหลือ…
ทนายรยูมองสำรวจอย่างไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ หน้าก็ไม่แต่ง ผมเผ้าก็ไม่ดูแล ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนลูกสาวเศรษฐี จะคนแบบไหน เห็นแค่ครั้งเดียวก็รู้ระดับสติปัญญา การศึกษาและทรัพย์สมบัติแล้ว เขาตัดสินไม่เคยพลาด…
“เรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ออกกันคนละครึ่งค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าลูกชายจะโดนสูบเลือดสูบเนื้อนะคะ”
อึนคังยิ้มหวาน รอยยิ้มอวดดีนั้นสร้างความไม่พอใจให้ทนายรยูอีกครั้ง อยากทำให้ปากดีนั่นหุบลง
“ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะมาเกาะจีฮวัน แต่อยู่ด้วยกันแบบนั้นเด็กอาจโผล่พรวดมา คงหวังน้ำเชื้อดีๆ สิท่า”
พูดออกไปแล้วก็ตกใจที่ตัวเองพูดอะไรที่น่ารังเกียจแบบนั้นออกไป แต่สีหน้าของอึนคังต่อมาน่าตกใจกว่า
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะพูดแบบไหนรอยยิ้มก็จะไม่หายไปจากดวงตา แต่สีหน้าของอึนคังในตอนนี้เย็นชาเหมือนเป็นคนละคน ทนายรยูทันเห็นการดูถูกที่แวบผ่านมาในสายตาที่จ้องมองมา สายตาคมกริบราวกับจะถามว่า นายมีสิทธิ์อะไรมาถามแบบนี้
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ ทั้งฉันและคุณจีฮวันไม่ได้วางการแต่งงานไว้ในระดับสำคัญของชีวิต ถ้าอยากแต่งงาน คงแต่งก่อนอยู่ด้วยกันไปแล้ว แล้วถึงจะบอกว่าล้อเล่น ก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆ ไม่ว่าจะกับคนอื่นหรือตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำให้ดูแย่ แต่ยังทำให้สงสัยไปถึงอุปนิสัย”
แม้จะบอกอย่างสุภาพ แต่เสียงก็สั่นน้อยๆ ท่าทางจะโกรธมากจริงๆ แต่อย่างไรก็ดูเหมือนลูกหมาลูกกระต่ายที่กระโดดโลดเต้นเล่นไปไม่รู้จักกลัวอะไรมากกว่าที่จะไม่พอใจ
ทั้งขำและหมั่นไส้ ความสนใจก็ถูกดึงไปอย่างประหลาด อยู่มาจนเจ็ดสิบ ไม่เคยมีใครเผชิญหน้ากับเขาแบบนี้ อีกทั้งยังว่าว่าเขานิสัยแย่อีกด้วย การตำหนิของอึนคังทำให้เขาคึกคักไม่น้อย
นานแล้วที่ไม่ได้อยากลองสัมผัสถึงก้นบึ้งของใคร หัวใจเต้นรัวอยู่ในอกของทนายรยู
“แล้วถ้า ผมบอกให้เลิกกับจีฮวันจะว่ายังไง”