รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - บทที่ 15 การหนีนั้นน่าละอายและไม่ช่วยอะไร
อึนคังได้ยินชัดเจน
กรอด เสียงกัดฟัน
สายตาราวกับแสงเลเซอร์พุ่งออกมาจากดวงตาใต้ขนตาหนา
อึนคังรู้สึกได้อย่างแน่ชัดถึงความโกรธที่พลุ่งพล่าน สองมือที่กำสมุดกับกระดาษโพสต์อิทสั่นหงึกๆ
แล้วอึนคังก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะหนี!
ร่างกายที่มักจะตัดสินเร็วกว่าสมอง ขยับอย่างรวดเร็ว อึนคังพุ่งออกจากคาเฟ่ วิ่งไปยังถนนใหญ่
วิ่งข้ามทางม้าลายที่ไฟเป็นใจเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้ข้ามได้เร็วดังจรวดเข้าไปในสวนริมทะเลสาบ ในหัวของเธอว่างเปล่าเหมือนหลุมดำ
ข้างหน้าสว่างแล้วก็มือลง ทั้งกลัว ทั้งอาย และขายหน้า อยากหนีไปซ่อนที่ไหนสักที่ ไม่สิ แค่ซ่อนไม่พอ อยากตายไปเลยมากกว่า
เหตุการณ์ต่างๆ เหมือนภาพในอดีตมากมายแวบเข้ามาในหัวของอึนคัง เวลาคนจะตาย ก็มักนึกถึงเรื่องในอดีตสินะ!
อึนคังหนีแหลก เหมือนตอนเจ็ดขวบที่อยากแต่งหน้าให้เจ้าขาวข้างบ้านให้สวยๆ เลยใช้ปากกาเมจิกระบายเปลือกตาของเจ้าขาวเป็นสีดำ แล้วโดนคุณยายเจ้าของจับได้, เหมือนตอนสิบขวบที่แอบเอายางลบใหม่ที่เพื่อนคู่หูหวงมาใช้แล้วทำหัก, เหมือนตอนสิบหกที่สบตากับเพื่อนๆ แล้วไม่มีใครติดดอกไม้ที่ผลงานที่แสดงในนิทรรศการบทกวีคลาสวรรณคดีให้ เลยแอบไปติดเสียเอง, เหมือนตอนยี่สิบแปดที่ตกรอบการประกวดบทประพันธ์ฤดูใบไม้ผลิรอบที่แปด แต่โกหกว่าได้เข้ารอบสุดท้าย แล้วไปนั่งกระดกโซจูคนเดียวที่แม่น้ำฮัน แล้วก็เหมือนตอนสามสิบที่สาธยายเรื่องตลกงี่เง่าเหมือนคนไร้สาระที่สุดในโลกอยู่ข้างแม่ที่ถูกย้ายไปวอร์ดผู้ป่วยระยะสุดท้าย
หน้าตาที่รู้สึกคุ้นๆ ความรู้สึกคุ้นเคยที่แวบเข้ามาตอนเจอจีฮวันที่นั่งอยู่คนเดียวในคาเฟ่ ไม่ใช่เพราะประทับใจในใบหน้าอันหล่อเหลา แต่เป็นความรู้สึกเหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
ไม่ใช่ความผูกพันที่ผ่านมาแล้วผ่านไปเฉยๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เหมือนมีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกันลึกซึ้ง โดยมีเรื่องราวพิเศษ ใจเต้นตึกตัก หรือจะเคยพบกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่แล้วมโนก็ต้องสลาย! เพราะเขาคือเจ้าของบ้านที่เธอไปอึแล้วหนี! ใช่แล้ว ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหลือเกิน เป็นเรื่องราวที่พิเศษมาก!
“นักเขียนโก!”
เสียงของจีฮวันที่เปี่ยมด้วยความโกรธดังลั่นขึ้น
“แม่จ๋า!”
เมื่อหันหลังไปดูก็พบว่าจีฮวันกำลังวิ่งไล่ตามมาด้วยขาปราดเปรียวพร้อมกับใบหน้าที่ดุเหมือนเสือ ด้วยความเร็วที่ไม่อาจดูถูกได้ อึนคังเองก็วิ่งราวกับคนบ้าเหมือนกัน
“หยุดนะ!”
“ฉะ ฉันผิดแล้วค่ะ!”
อึนคังตะโกนตอบโดยไม่หันกลับมา
“นี่ท่าทางของคนที่บอกว่าผิดไปแล้วเหรอ จะหนีงั้นเหรอ”
“ฮือ! ขะ ขอโทษค่ะ! ขอโทษจริงๆ! ฉันสมควรตาย!”
“ถ้ารู้ตัวว่าสมควรตายก็หยุดสิ! นี่ คุณโกอึนคัง! นี่เป็นความสามารถพิเศษของคุณนักเขียนหรือไง หา? บอกให้หยุด!”
“ขอโทษค่า! ขอโทษจริงๆ!”
บ่ายสี่โมง ผู้คนที่ออกมาเดินเล่นและขี่จักรยานที่สวนต่างพบเห็นฉากหายาก หญิงสาวในกระโปรงตัวยาว สวมทับแจ็คเก็ตฟิลด์ และรองเท้าผ้าใบ กับชายหนุ่มที่ใส่รองเท้าหนังในชุดสูทเนี้ยบวิ่งไล่กันพลางตะโกนโวยวาย
“คุณโกคึมกังนักเขียนนิยายออนไลน์สิบเก้าบวก! หยุดเดี๋ยวนี้!”
“อ๊าย! ห้ามพูดนะ! จะเผยตัวตนกันอย่างนี้ไม่ได้!”
“ทำไม ทำไมจะไม่ได้ อายเหรอ รู้จักอายด้วยหรือไงครับ รู้ไหม แฮ่กๆ ว่าผมต้องลำบากแทบตาย เพราะคุณ เพราะคุณเข้าไปอึในบ้านคนอื่น!”
ผู้คนเสียงพากันหัวเราะคิกคักกับเสียงตะโกนของเขา แต่จีฮวันไม่สนใจ
ทุกสิ่งที่จีฮวันรักษามาเท่าชีวิต ทั้งมารยาท การอบรม ตำแหน่งทางสังคม เกียรติ และความสนใจของคนอื่นหายวับ จุดนี้เขายังจัดการปัญหาเรื่องอึไม่ได้ เลยมีแต่ความโกรธที่พลุ่งพล่านเหมือนสารพิษในลำไส้
“ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะด่วนมากยังไง! แต่ก็ต้องอยู่เจอหน้าขอโทษก่อนสิ! ก่อเรื่องแล้วหนี ทำส้วมคนอื่นเขาเต็มได้ยังไง! ห้องน้ำผม แฮ่กๆ กลายเป็นทะเลอึ ก็เพราะอึที่คุณมาปล่อยไว้! ไม่เคยพบเคยเจอผู้หญิงที่ก่อความเดือดร้อน ไม่มีความละอายอย่างคุณมาก่อนเลย ผม! ต้องเปลี่ยนโถใหม่ หอบจีองไปไว้ที่รพ.สัตว์ แฮ่กๆ เสียเงิน เสียประสาททั้งคืน จะชดใช้ยังไง! ผมถามว่าจะชดใช้ยังไง!”
“ฉะ ฉันสมควรตาย! ที่ทำเรื่องหน้าไม่อายกับคนอื่นแบบนี้ ฉันจะโดดทะเลสาบตาย!”
อึนคังมองแต่ข้างหน้า วิ่งไปตะโกนเสียงสั่นเครือไปราวกับคนบ้า
“โดด แฮ่กๆ น้ำตายอะไร! ทะเลสาบนี่ไม่ได้ทำขึ้นมาให้คุณกระโดดน้ำตาย! แฮ่กๆ ที่นี่สร้างขึ้นจากภาษีของประชาชน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของอิลซาน แฮ่กๆ การโดดน้ำตายที่นี่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น!”
ผู้หญิงคนนี้วิ่งเก่งมาก ไม่น่าจะวิ่งได้เก่งขนาดนี้ทั้งที่ผ่านมาน่าจะได้แต่นั่งติดเก้าอี้เขียนนิยาย วิ่งไวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ตัวก็เตี้ย แขนขาก็สั้น ก้าวยาวขนาดนั้นได้อย่างไร!
“อ้า รู้แล้วค่ะ! ไม่โดดแล้ว! ไม่โดดก็โอเคแล้วใช่ไหมคะ! ยกโทษให้ฉันเถอะนะคะ! ปล่อยฉันไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ได้ไหม คงไม่ทำให้เดือดร้อนใช่ไหมคะ”
ไม่จริง วิ่งขนาดนั้น ยังพูดมากได้ขนาดนี้! แฮ่ก แฮ่ก จะบ้า ยัยนั่นจะวิ่งไปจนสุดสวนเลยเหรอ จะวนรอบไหมเนี่ย วิ่งหกกิโลโดยไม่พักเนี่ยนะ
“นี่ นักเขียนโก! เข้าใจว่าอยากหนี แต่ จะ แฮ่ก ไม่พบผมอีกหรือไง หา? เราตกลงทำงานด้วยกันไม่ใช่เหรอ เรา แฮ่ก ต้องเจอหน้ากันอีกห้าเดือนนะ! แล้วจะทำยังไง นักเขียนโก แฮ่กๆ คิดว่าจะหดหัวอยู่แบบนี้เหรอ จะหนีไปเรื่อยๆ โดยไม่แก้ไขอะไรได้ยังไง การหนี แฮ่ก ไม่ใช่เรื่องดี! ขอร้อง ช่วยหยุดวิ่งทีเถอะครับ!”
“กะ ก็หยุดไล่ตามฉันสักทีสิคะ! ฉันหยุดไม่ได้ ที่อยากหนีก็เพราะขายขี้หน้าแล้วก็กลัว!”
“กลัว แฮ่กๆ อะไรครับ!”
“ก็คุณพีบีไงคะ!”
“ผมไปทำอะไร ผม แฮ่กๆ จะจับคุณกินหรือไง หรือคิดว่าผมจะต่อยตีคุณ”
“ฉันรู้สึกเหมือนถูกฟาดไปหลายทีแล้ว! ขอบอกว่าคุณพีบีน่ากลัวมาก! แค่มองหน้าก็ชาวาบ ตัวสั่นไปหมดแล้ว!”
“ผมไม่ แฮ่กๆ จับคุณกินหรอก แฮ่กๆ ไม่ตีด้วย เพราะงั้น แฮ่ก ตอนนี้ ได้โปรด หยุดวิ่งได้แล้ว!”
อึนคังยังดูวิ่งได้เรื่อยๆ ต่างกับจีฮวันที่เริ่มหมดแรง เธอวิ่งหลบคนที่มาขี่จักรยาน มาเดินเล่นทางนู้นทีทางนี้ทีด้วยความเร็วคงที่
คนที่เหนื่อยคือจีฮวัน ปัญหายิ่งกว่าอะไรคือชุดไม่พร้อม สูทพอดีตัวกับรองเท้าเป็นมันเงาเป็นชุดสำหรับใส่ไปประชุม ไม่ใช่ชุดออกกำลังกาย ฝ่าเท้าเริ่มปวดตุบๆ เกินทน จีฮวันถึงได้หยุดวิ่ง
“อ้า เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้ว แฮ่กๆ ผมจะไม่ไล่ตามแล้ว คุณนักเขียนก็หยุดวิ่งเถอะ”
แม้จีฮวันจะหยุดวิ่ง แต่อึนคังยังคงวิ่งฉิวไม่เหลียวหลังกลับมามอง เธอยังหายใจสม่ำเสมอ ในขณะที่จีฮวันลิ้นห้อย
“แฮ่กๆ จะวิ่งไปถึงไหน คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ฟอร์เรสต์ แฮ่กๆ กัมป์? หรือ กีบง[1]วิ่งเท้าเปล่า?”
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีลูกแมวตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากพงหญ้า ตัดหน้าอึนคังที่วิ่งด้วยความไวแสง
“แม่จ๋า!”
อึนคังตกใจเลี้ยวหลบลูกแมวทันที แต่กระโปรงยาวเจ้ากรรมกลับมาพันขา
“กรี๊ด!”
เธอเสียการทรงตัวพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเสียงกรี๊ด โครม! ล้มคะมำหน้าทิ่มไปกับสนามหญ้าด้วยท่าทางเหมือนในการ์ตูน หมวกปลิวไปไกล
เรื่องเกิดขึ้นภายในเวลาแค่เสี้ยววินาที และจีฮวันที่ไม่พลาดเหตุการณ์ทั้งหมดตกใจยืนอึ้งอ้าปากค้าง แล้วหุบปากกลั้นหัวเราะที่เกือบจะระเบิดออกมา
อึนคังหน้าทิ่มอยู่ในพงหญ้า นิ่งเงียบราวกับตาย
จีฮวันเก็บหมวกของอึนคัง เดินเข้าไปหาเจ้าของที่นอนคว่ำอยู่ บาดเจ็บหรือเปล่าเนี่ย หรือจะหมดสติ? โชคดีที่เห็นนิ้วของอึนคังกระดุกกระดิกเลยโล่งใจ
“เป็นไรไหมครับ”
อึนคังไม่ตอบ จีฮวันคุกเข่าข้างนึงนั่งลงกับพื้นข้างๆ อึนคัง
“เจ็บจนลุกไม่ไหว หรืออายจนไม่ยอมลุกครับ”
ไม่มีคำตอบเช่นเคย
“ถ้าเป็นอย่างแรกก็ต้องรีบไปโรงพยาบาล ถ้าเป็นอย่างหลังก็รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว ยิ่งนอนนานก็ยิ่งขายหน้านะครับ”
อึนคังค่อยๆ ยันตัวขึ้นเหมือนซอมบี้หมดแรง
“ไม่เป็นไรนะครับ”
อึนคังพยักหน้าช้าๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ยอมเงยหน้า
“ไม่เป็นไรจริงๆ นะครับ หน้าคุณ…”
อุ้ย หน้าของอึนคังเลอะดินกับหญ้าเต็มไปหมด
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
อึนคังตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เดี๋ยวนะครับ”
จีฮวันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอกเตรียมจะส่งให้ แต่อึนคังมองไม่เห็นหน้าตัวเอง เขาเช็ดให้น่าจะดีกว่า
“เลอะดินเต็มไปหมดเลย ผมจะปัดออกให้นะครับ”
จีฮวันค่อยๆ ปัดเศษดินและเศษหญ้าที่ติดอยู่บนใบหน้าของอึนคังให้อย่างเบามือ
“โชคดีที่ไม่เป็นแผลนะครับ”
“นั่นสิคะ ไม่งั้นหน้าแหกหมดแน่ อู๊ย”
ฝุ่นถูกปัดออก อึนคังหลับตาทำหน้าย่น มือของจีฮวันที่ถือผ้าเช็ดนั้นหยุดชะงัก เขามองใบหน้าที่เลอะเศษดินเศษหญ้าของหญิงสาวอย่างอ้อยอิ่ง ด้วยสายตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สิบวันที่ประสบกับยัยอึมหาภัย นี่คือใบหน้าของตัวการเรื่องทั้งหมด
ใบหน้านี้สินะ ผู้หญิงคนนี้นี่เอง
ใบหน้าของอึนคังเรียบๆ ไร้เครื่องสำอาง
เป็นใบหน้าธรรมดาๆ ที่พบได้ทั่วไปในสิบนาทีที่วิ่งวนรอบสวนมา ผิวไม่ได้ขาวเรียบเนียนไร้จุดด่างดำ สันจมูกก็ไม่ได้สูงโด่งมากมาย สันกรามก็ไม่ได้คมชัดราวกับตัด ริมฝีปากก็ไม่ได้แดงเหมือนลูกเชอร์รี่
ขนตาบางไม่ได้เสริมแต่ง มีรอยกระเล็กๆ จมูกไม่โด่งไม่แบน ขอบปากสีเข้มเล็กน้อย หน้ากลมๆ ห่างไกลจากวีไลน์
ใบหน้าของอึนคังที่กำลังหลับตา ไม่ได้สวย ไม่ได้เซ็กซี่ แต่ละสายตาไม่ได้อย่างประหลาด
ไม่รู้จักระวังตัวเอาเสียเลย
ไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นและความรู้สึกระมัดระวังตัวจากใบหน้าของอึนคังที่หลับตาอยู่ กลับดูสบายๆ และไร้ซึ่งการป้องกันตัว ทำให้จีฮวันสับสนมาก
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยยื่นหน้าให้คนอื่นโดยไม่ระแวงเลยสักครั้ง ไม่เคยวางใจหลับตา แต่ผู้หญิงคนนี้ทำได้อย่างไร เชื่อใจเขาขนาดนั้นเลย?
ทันใดนั้นอึนคังก็ลืมตาขึ้นมาจ้องจีฮวันเขม็ง ด้วยสายตาแจ่มชัดไร้แผนการใดๆ แอบซ่อน
…………………………………
[1]กีบง ตัวเอกจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Barefoot Ki-Bong