รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - บทที่ 16-2 การพบกันของโรคกลัวแมวและโรคเกลียดหมา / บทที่ 17-1 ความรักนั้นอาจเป็นโรค
- Home
- รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ
- บทที่ 16-2 การพบกันของโรคกลัวแมวและโรคเกลียดหมา / บทที่ 17-1 ความรักนั้นอาจเป็นโรค
บทที่ 16-2 การพบกันของโรคกลัวแมวและโรคเกลียดหมา
“แต่…แมวที่ว่าน่ากลัว ก็ยังถูกคนทำร้าย ทำดีสิบครั้งไม่เคยจำ แต่ทำผิดเพียงครั้งเดียวกลับผูกใจเจ็บ เจ้าของที่เลี้ยงดูก็ไม่เข้าใจ เอาแต่เชื่อเรื่องเล่าไร้สาระ ว่ามันทั้งโง่และไม่รู้จักบุญคุณ”
“ไม่ใช่ค่ะ! ฉันเองก็รู้ว่าแมวเป็นสัตว์ที่มีเสน่ห์มาก เข้าใจดีเลยด้วย แต่ฉันยังเอาชนะโรคกลัวแมวที่เกิดเมื่อตอนเด็กๆ ไม่ได้…”
อาการกลัวแมวอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้เป็นกับแมวตัวใหญ่ หรือเธอจะกลัวลูกแมวที่เพิ่งคลอดได้เดือนสองเดือนงั้นเหรอ
จะเป็นโรคกลัวอะไรก็ช่าง ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ถ้าสาเหตุของอาการมาจากแมว การพูดคุยก็เปลี่ยนไป
“แพ้แมวเหรอครับ ไม่รู้ว่าแพ้แมว พอแมวเข้ามาใกล้ๆ ก็หายใจเกือบไม่ออกอะไรแบบนี้ไหมครับ”
“เปล่าค่ะ”
“หรือเคยโดนแมวข่วน ลูกแมวน่ะเล็บนิดเดียวแต่คมมากเลยนะครับ”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นเคยเดินๆ อยู่ริมถนนตอนกลางคืน แล้วอยู่ๆ ก็มีแมวพุ่งออกมา เลยตกใจมากสินะครับ…”
“คล้ายๆ อย่างนั้นค่ะ ญาติทางแม่อยู่ต่างจังหวัด ตอนเด็กๆ ฉันไปเที่ยวบ้านคุณยาย…”
จู่ๆ อึนคังก็หยุดชะงัก จีฮวันพลอยตื่นเต้นกลืนน้ำลายพลางเขยิบมานั่งใกล้ๆ อึนคัง
“ลูกแมว…หนู”
ดวงตาของอึนคังแฝงด้วยความกลัว เมื่อนึกถึงฝันร้ายในวันนั้น
“เห็นมันจับหนูกินงั้นเหรอครับ”
อึนคังพยักหน้าด้วยแววตากลัวๆ อ้า คงเป็นเพราะเรื่องนี้มั้ง
“มันเป็นสัญชาตญาณของแมวน่ะครับ แมวตัวนั้นไม่ได้กินหนูเพราะชั่วร้ายหรือนิสัยไม่ดี มันกินเพราะแค่ต้องกิน ก็เหมือนที่คุณนักเขียนกินข้าวกินขนมปังเวลาหิว แมวตัวนั้นก็แค่กินหนูเพราะหิวเหมือนกัน ในสถานการณ์ของหนู อาจจะเป็นความโชคร้าย แต่ตามธรรมชาติ แมวเป็นนักล่าที่กินหนู”
“รู้ค่ะ ฉันรู้ ใครจะไม่รู้เรื่องนั้น ลองนึกดูนะคะ! ถ้าคุณพีบีเป็นเด็กแปดขวบ ไปเที่ยวบ้านยายที่ต่างจังหวัด ที่นั่นมีลูกแมว ลูกแมวตัวนั้นน่ารักมาก คุณพีบีแบ่งไก่ต้ม แบ่งปลาแห้ง เล่นสนุกด้วยกันทุกวัน เป็นเพื่อนรักหนึ่งเดียวของตัวเอง แต่อยู่มาวันนึง คุณพีบีไปเปิดกล่องแพนโดร่าเข้า ในหมู่บ้านต่างจังหวัดอันมืดมิด เป็นเช้ามืดที่ลางร้ายแผ่กระจายเหมือนแก๊สพิษ”
การเล่าของอึนคังที่ลดเสียงต่ำลงชวนขนลุก ค่อยๆ เผยเรื่องราวช้าๆ ประหนึ่งกำลังแสดงละคร ทำเอาจีฮวันตั้งใจฟังไปด้วย
“คุณพีบีตื่นขึ้นมาเพราะคอแห้งมาก เดินงัวเงียไปที่ครัว ในสภาพที่กำลังขยี้ตาสะลึมสะลือ ไม่คิดอะไรนอกจากอยากกินน้ำ แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเมฆดำอำมหิตจะตามมาปกคลุมชีวิตตัวเอง”
เฮ้อ สนุกและเล่าได้ออกรส แต่คำนำยาวมาก เป็นเรื่องที่อ่านบทนำจนเพลีย
“และก็เปิดไฟโดยไม่คิดอะไร ทันใดนั้น คุณพีบีที่เป็นเด็กน้อยอายุแปดขวบก็เห็นภาพที่น่ากลัวมากๆ อย่างที่อะไรก็เทียบไม่ติด และน่าสยดสยองจนไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิต ลูกแมวตัวนั้นขึ้นไปนั่งอยู่บนเตาไฟในครัว อื๋อออ!”
อะไร อะไร เกิดอะไรขึ้น! เล่าต่อเร็ว!
“แมวที่ปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ปากของมันอาบไปด้วยเลือดหันมามองคุณพีบีด้วยดวงตาเรืองแสงวาบ และที่ปากคาบหนูเลือดหยดติ๋งๆ ตัวหายไปครึ่งนึง!”
อืม เป็นฉากที่น่าสะพรึงมาก และรุนแรงเกินไปสำหรับเด็กแปดขวบ
“ซึ่งมันคือแมวที่คุณพีบีคิดว่าเป็นเพื่อน และเคยกอดรัดเล่นกันอย่างสนุกสนาน! แล้วมันก็กินหนูที่เหลืออีกครึ่งตัว ปากเลอะเลือดเต็มไปหมด ฮือออ!”
อึนคังเอามือทึ้งหัวทำท่ากรีดร้อง แล้วยื่นหน้ามาหาจีฮวัน
“ดูท่าทางจะไม่เข้าใจความกลัวของฉันสินะคะ”
“เข้าใจครับ”
“จริงเหรอคะ เข้าใจหรือคะว่าฉันทุกข์ทรมานขนาดไหน! หมู่นี้มีแมวจรเยอะมาก ฉันตกใจทุกครั้งที่เจอเลยค่ะ ฮือ ถึงอาการจะหนักแค่ไหน แต่นี่มันก็ผ่านมายี่สิบห้าปีแล้ว!”
แปดขวบบวกกับอีกยี่สิบห้าปี ก็สามสิบสามแล้วสินะ เห็นทำอะไรไม่รู้จักระวัง นึกว่าอายุยี่สิบกว่า…
“ถ้าได้เจอจีองของผม ความคิดเกี่ยวกับแมวของคุณอาจจะเปลี่ยนไป”
จู่ๆ จีฮวันก็ยกเรื่องจีองขึ้นมาพูดโดยไม่รู้ตัว โอ๊ย ความไม่ยั้งคิดนี้
“จียง? วงบิ๊กแบงน่ะเหรอคะ”
“จี ‘อง’ ครับ อง ไม่ใช่ยง”
“คุณพีบีเลี้ยงแมวด้วยเหรอคะ”
“ไม่ได้เลี้ยงครับ ผมดูแลเขาอยู่”
อึนคังหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ
“เห็นเขาว่าคนเลี้ยงแมวมักจะแบบ แมวเป็นเจ้านาย ตัวเองเป็นทาส ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ก็เพราะความจริงเป็นแบบนั้นไงครับ”
อึนคังหัวเราะอีกครั้งกับสีหน้าจริงจังของจีฮวัน
“ว่าแต่ประหลาดใจจังค่ะ คุณพีบีเลี้ยงแมวด้วย”
“ทำไมครับ”
“เปล่าค่ะ คือแมวมันค่อนข้าง คุณพีบีให้ความรู้สึกว่าน่าจะเลี้ยงพวกที่ตัวใหญ่ๆ ขายาวๆ อย่างเกรย์ฮาวนด์หรืออิงลิช เซตเทอร์”
จีฮวันตัดบทหน้าเคร่งขรึม
“ผมไม่มีทางเลี้ยงหมาเด็ดขาดครับ”
“ทำไมล่ะคะ ไม่ชอบหมาเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่ชอบครับ แต่ผมเกลียดหมาเลยแหละ”
บทที่ 17-1 ความรักนั้นอาจเป็นโรค
“ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมคะ”
อึนคังถามพลางหัวเราะ
“ผมพูดจริงครับ”
รอยยิ้มมลายหายไปจากใบหน้าของอึนคัง
“ไม่จริง”
“ไม่จริงยังไงครับ อะไรที่ว่าไม่จริง”
“กะ ก็ คนเราจะไปเกลียดหมาได้ยังไง”
“คนเกลียดพระเจ้ายังมี แล้วจะมีคนเกลียดหมาไม่ได้เหรอครับ”
จีฮวันย้อนถามสีหน้าเยือกเย็น อึนคังตอบกลับเสียงดังราวกับไม่อยากเชื่อ
“ไม่ได้ค่ะ!”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ”
“ความเกลียดเป็นสิ่งไม่ดีไม่ใช่เหรอคะ ความเกลียดชังอย่างการเหยียดชนชาติ, เหยียดผู้หญิง, เหยียดคนรักร่วมเพศและอีกสารพัด ทุกวันนี้เป็นปัญหาขนาดไหนไม่รู้หรือคะ ไหนว่าเสิร์ชหาข่าวทั้งวัน”
“ผมไม่ได้เกลียดชนชาติอื่น ผู้หญิง หรือคนที่รักร่วมเพศนี่ครับ สิ่งที่ผมเกลียดจริงๆ มีแค่หมา”
“ว่าไงนะคะ”
อึนคังมองจีฮวันอย่างอึ้งๆ
“ทำ ทำไม ได้ยังไง ทำไมถึงได้เกลียดหมา…หมาทำอะไรผิดกับคุณพีบีหรือไง”
“แล้วคุณนักเขียนทำไมถึงกลัวแมวล่ะครับ แมวทำอะไรผิด”
“กะ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ! ว่ามันเป็นความกลัวที่เกิดจากตอนเด็กๆ!”
“ผมก็คล้ายกันนั่นแหละครับ แต่ในกรณีผมพัฒนาไปมากกว่ากลัว และผมก็คิดว่าการเกลียดหมาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ครับ”
“คะ?”
ตาของอึนคังเบิกโพลง
“ความเกลียด ตามความหมายในพจนานุกรม หมายถึง ชัง, รังเกียจมาก, ไม่ชอบจนรู้สึกไม่อยากพบอยากเห็น ปัญหาเรื่องความเกลียดชังผุดขึ้นมาพร้อมกับอาชญากรรมความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วความเกลียดไม่ใช่ปัญหา เพราะก็มีมุมมองที่มองความเกลียดเป็นแรงขับเคลื่อนวิวัฒนาการของมนุษย์ ในขณะที่เข้าใจว่ามันเป็นสัญชาตญาณ เป็นอารมณ์ตามธรรมชาติในการหลีกให้ไกลจากสิ่งที่เหมือนจะทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อตัวเอง”
พูดคล่องเชียวนะ อึนคังนิ่งอึ้ง ถูกลากเข้าเรื่องของจีฮวัน
“สำหรับคนเรา มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ ที่เกลียดอะไรไม่ชอบอะไรใช่ไหมล่ะครับ ความรู้สึกที่ชอบเป็นพิเศษก็มี ความรู้สึกที่เกลียดเป็นพิเศษก็มี คุณนักเขียนรักหรือชอบทุกสิ่งในโลกเลยเหรอครับ”
“มะ มันก็ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แน่นอนว่าฉันเองก็มีสิ่งที่ไม่ชอบ คนที่เกลียดก็มี แต่ไม่ได้เกลียดชังโจ่งแจ้งแบบนั้น ฉันคิดว่ามันไม่ควรค่ะ!”
“อ้า เกลียดโจ่งแจ้งไม่ได้ งั้นเกลียดในใจไม่เป็นไรสินะครับ”
อึนคังถึงกับไปไม่เป็นไปชั่วขณะ
“ผมบอกว่าเกลียดหมา แต่ก็ไม่ได้เที่ยวไปทำร้ายมัน การทุบตีหมาโดยไม่มีสาเหตุเป็นการทารุณกรรมสัตว์ ผมเกลียดหมา แต่ไม่ได้ทำร้าย มันก็แค่ความเกลียดภายในจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าความเกลียดกับอาชาญากรรมจากความเกลียดชังเป็นปัญหาต่างประเภทกัน บางคนถึงจะเกลียดใคร ก็ไม่ได้แสดงความเกลียดของตัวเองผ่านการกระทำ ผมว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปตำหนิคนคนนั้น”
“แล้วไม่คิดบ้างหรือคะ ว่าที่เกิดปัญหา เพราะความเกลียดกับอาชาญากรรมจากความเกลียดชัง ไม่ได้ถูกแยกกันได้ชัดเจนขนาดนั้น ไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่าความเกลียดภายในใจของพวกแบ่งแยกชนชาติเผ่าพันธุ์ พอเพิ่มมากขึ้นมากๆ จะทำให้เกิดอาชญากรรม หรือความเกลียดชังผู้หญิงที่เติบโตขึ้น อาจทำให้คนนั้นกลายเป็นผู้ชายที่ตบตีผู้หญิงโดยไม่รู้ตัวก็ได้ การเกลียดหมา ฉันคิดว่ามันก็ไม่ต่างกัน คุณพีบีเกลียดแค่ในใจ อาจจะคิดว่ามันจะไปเป็นปัญหาอะไร แต่การที่ความเกลียดนั้นเกาะกินในภายใจ ฉันคิดว่ายังไงก็เป็นปัญหา!”
“ผมไม่เข้าใจว่าการเกลียดหมาไปเกี่ยวอะไรกับการเกลียดผู้หญิงหรือเหยียดเชื้อชาติ หมากับคนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ”
“แน่นอนค่ะว่าคนกับหมาต่างกัน แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันไม่ใช่หรือไงคะ จะมาเกลียดสิ่งมีชีวิตอื่นโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ ดังนั้นฉันถึงคิดว่าไม่ได้ค่ะ! ฉันคิดว่าเราไม่มีสิทธิเกลียดใครโดยไม่มีเหตุผล!”
“สิ่งมีชีวิตเป็นเป้าของความเกลียดชังไม่ได้งั้นเหรอครับ ถ้างั้น คุณนักเขียน จะกับใครหรือสถานการณ์อะไรก็ไม่เกลียดงั้นเหรอครับ ฆาตกรต่อเนื่องหรือคนร้ายคดีข่มขืนก็เป็นสิ่งมีชีวิต ก็คิดว่าไม่เกลียด แล้วยังต้องโอบกอดด้วยความรักสินะครับ”
“ระ เรื่องนั้น…”