รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 146 ไม่ใช่อุบัติเหต
ในขณะนั้นกระเช้าลอยฟ้าก็มาถึง
ทุกคนจบการสนทนาและนั่งกระเช้าลอยฟ้าลงจากภูเขา
ทันทีที่กลับไปถึงวิลล่า มายมิ้นท์เห็นพ่อครัวส่งหมอออกไป
“ดูเหมือนว่าส้มเปรี้ยวจะไม่เป็นไรนะคะ” ชาหวานพูดพร้อมกับเข้ามาควงแขนของเธอ
ลาเต้เม้มริมฝีปากของเขา “ทำเรื่องชั่วมานานแรมปี จะตายง่ายๆ ได้ยังไง?”
“เอาล่ะค่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เข้าไปข้างในกันก่อน” มายมิ้นท์เพ่งมองแล้วเข้าไปในวิลล่า
ทุกคนจึงได้เดินตามเข้าไป
เปปเปอร์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อเขาเห็นทุกคนเดินตรงเข้ามา ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
“เปปเปอร์ คุณส้มเปรี้ยวโอเคไหม?” แม้ว่าจะเดาได้ว่าส้มเปรี้ยวไม่เป็นอะไร แต่ทามทอยยังคงถามอย่างสุภาพเพื่อไม่ให้ดูเฉยเมยเกินไป
“ไม่เป็นไร งูไม่มีพิษ” เปปเปอร์วางโทรศัพท์ลงแล้วตอบ
“น่าเสียดาย” ชาหวานพูดขึ้นทันที
เปปเปอร์ขมวดคิ้ว บรรยากาศความเยือกเย็นแผ่ออกไปรอบกาย
ในตอนแรกเขาเหลือบมองชาหวานอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหันไปมองทามทอย เสียงของเขาพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ว่า “ดูแลคนของคุณด้วย”
ก่อนที่ทามทอยจะตอบอะไรออกไป ลาเต้ก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ผมก็คิดว่าที่หัวหน้าชาหวานพูดนั้นถูกต้องแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ใช่งูพิษ เปปเปอร์คุณคงยังไม่รู้สินะว่าการที่ส้มเปรี้ยวถูกงูกัดเป็นเพราะเธอต้องการทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่เป็นผล กลับวกมาหาตัวเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง?” เปปเปอร์หรี่ตาและตระหนักได้ในทันใดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
ลาเต้โอบไปที่ไหล่ของมายมิ้นท์ “ผมหมายความว่าส้มเปรี้ยวเธอเห็นงูตั้งแต่แรกแล้ว และต้องการกระตุ้นให้งูกัดที่รักของผม หัวหน้าชาหวานเป็นผู้ช่วยชีวิตที่รักของผมไว้ งูจึงหันไปกัดส้มเปรี้ยวแทน”
ม่านตาของเปปเปอร์หดตัวลง และเห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจกับความจริงของเหตุการณ์นี้
เขามองไปที่มายมิ้นท์ “จริงหรือครับ?”
มายมิ้นท์มองออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่แม้แต่จะสนใจเขา
เมื่อเห็นแบบนี้เปปเปอร์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาดังเดิม
“แน่นอนว่าเป็นความจริง คุณคิดว่าเราโกหกคุณเหรอ? เราไม่ได้ไร้ยางอายขนาดนั้น” ลาเต้กลอกตาแล้วพูด
เปปเปอร์ชำเลืองมองใบหน้าของทุกคนที่อยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นก็ยืนยันว่าสิ่งที่ลาเต้พูดนั้นเป็นเรื่องจริง เขาจึงกำหมัดแน่นขึ้น
ส้มเปรี้ยว……
“ประธานเปปเปอร์ คุณวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? คุณควรจะให้คำอธิบายกับพวกเราหน่อยไหม?” ลาเต้เยาะเย้ยที่เปปเปอร์ที่กำลังมองลงมา
เปปเปอร์เม้มปากและยืนขึ้น “ฉันจะทำแน่นอน”
“ดีแล้วครับ เราจะรอคำอธิบายจากคุณ หวังว่าประธานเปปเปอร์จะไม่ทำให้เราผิดหวัง” ลาเต้ยิ้ม
เปปเปอร์ไม่สนใจเขาและก้าวเดินขึ้นไปชั้นบน
“พี่ รอผมด้วย” ปีโป้รีบวิ่งตามไป “ผมมีเรื่องจะบอก”
เขาต้องเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่
เขาจะต้องให้พี่ใหญ่เลิกกับส้มเปรี้ยวให้ได้
พี่น้องสองคนหายตัวไปจากทางเดินตรงบันได
ลาเต้โน้มตัวเข้ามาใกล้มายมิ้นท์ด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก คุณคิดว่าเจ้าเด็กปีโป้นั่นจะพูดกับเปปเปอร์?!”
“ใครจะไปรู้ อีกอย่างฉันไม่สนใจหรอกค่ะ” มายมิ้นท์ยิ้มแล้วปัดมือเขาออก “ฉันขอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องก่อนนะคะ”
พูดเสร็จเธอก็ขึ้นไปชั้นบน
มีเพียงทามทอย ชาหวานและลาเต้ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น
ทั้งสามคนมองหน้ากัน
ชาหวานหาวและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอกลับไปอาบน้ำนอนก่อนนะคะ”
“ผมจะไปขี่ม้า” ทามทอยพูด
คนหนึ่งขึ้นไปชั้นบน อีกคนหนึ่งออกจากบ้านพัก
“แล้วผมจะไปที่ไหน?” ลาเต้มองคนโน้นทีคนนี้ที ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาและนั่งบนโซฟาเปิดทีวีดู
ทามทอยมายังคอกม้า เขาเลือกม้าและจูงมันไปที่สนามแข่งม้า
ขณะนี้กำลังทำความสะอาดสนามแข่งม้าอยู่ จึงต้องรอให้ทำความสะอาดเสร็จแล้วจึงสามารถเข้าไปได้
ทามทอยผูกม้าไว้ข้างรั้ว เขายืนถือน้ำผลไม้หนึ่งแก้วดูคนงานทำความสะอาดอย่างสบายใจ
ในขณะนั้น จู่ๆ คนงานก็ก้มลงไปหยิบของบางอย่าง แล้วตะโกนบอกคนงานที่สวมหมวกสีแดงอยู่ไกลออกไปว่า “หัวหน้าทีมครับ รบกวนมาที่นี่หน่อย ผมเจออะไรบางอย่าง”
“อะไร?” หัวหน้าทีมรีบวิ่งเข้ามา
คนงานยื่นขวดแก้วใบเล็กในมือให้ “นี่ครับ ผมเพิ่งเปิดดู มันคือมัสค์”
“มัสค์?” หัวหน้าทีมขมวดคิ้ว
คนงานพยักหน้า “ใช่ครับ มีอยู่สองเม็ด แต่ดูจากความสูงของขวดและปริมาตรของมัสค์ น่าจะมีสามเม็ดอยู่ในขวด ผมจึงสงสัยว่าเป็นสามเม็ดที่หายไปจากคลังของเรา”
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเม็ดที่สามในขวดนี้หายไปไหน” หัวหน้าทีมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ทามทอยเดินเข้าไปด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นครับ?”
หัวหน้าทีมรู้ว่าเขาเป็นลูกค้าจึงไม่ได้ปิดบัง ดังนั้นจึงยิ้มและตอบกลับว่า “อ๋อ พนักงานของเราพบมัสค์ตกอยู่ที่พื้นครับ”
“มัสค์?” ทามทอยเลิกคิ้ว “มันคืออะไร?”
“มันเป็นยาเม็ดที่สกัดจากสารคัดหลั่งของม้าตัวผู้ ถูกใช้เพื่อกระตุ้นการผสมพันธุ์ของตัวเมีย เพราะม้าเป็นสัตว์ที่มีอัตราการผสมพันธุ์ต่ำมาก ในการที่จะผสมพันธุ์ม้าเราจะให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ม้าใช้สิ่งนี้เพื่อกระตุ้นตัวเมีย” หัวหน้าทีมอธิบาย
ทามทอยพยักหน้าทันที “อ้อ เป็นแบบนี้ ว่าแต่เจ้าสิ่งนี้มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“เราก็แปลกใจเหมือนกันครับ ตอนที่คนงานไปตรวจสอบโกดังเมื่อวานนี้ พวกเขาพบมัสค์สามเม็ดหายไปจากโกดัง ไม่คิดว่าจะมาเจอที่นี่” หัวหน้าทีมเกาหัวด้วยความงุนงง
“ดูเหมือนว่ามันจะถูกขโมย และถูกใครใช้ไปแล้วนะครับ” ทามทอยกล่าว
“เจ้าสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์หรอกครับถ้าไม่ใช่ม้าตัวเมีย คนที่ขโมยไปก็แปลกจริงๆ” คนงานพูดด้วยสีหน้างุนงง
“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองเหรอ?” ทามทอยถามด้วยใบหน้าจริงจังเมื่อจู่ๆ เขานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หัวหน้าทีมพยักหน้า “ใช่ครับ โกดังของเราต้องตรวจทุกวัน เราพบว่ามีมัสค์หายไปสามเม็ด แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก”
ทามทอยหรี่ตาลง
มัสค์มีประโยชน์สำหรับตัวเมียเท่านั้น มันถูกขโมยไปเมื่อวานนี้ และเมื่อวานม้าตัวเมียของมายมิ้นท์ก็เกิดอาการต้องการผสมพันธุ์ขึ้นมาในสนามแข่งม้า ทำเอามายมิ้นท์แทบจะตกจากม้า แท้จริงแล้วมันคงไม่ใช่อุบัติเหตุ ดูเหมือนมีใครบางคนตั้งใจให้เป็นแบบนี้
คนคนนั้นใช้มัสค์เพื่อทำให้ม้าของมายมิ้นท์มีความต้องการผสมพันธุ์ จากนั้นจึงโยนอีกสองเม็ดที่เหลือพร้อมกับขวดแก้ว ทิ้งไป บางทีใครคนนั้นอาจคิดว่าคงจะไม่มีใครพบขวดแก้วนี้ เพราะมันมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของฟาร์มม้า จึงโยนมันทิ้งไว้ที่สนามแข่งม้า?
“อ้อ จริงสิครับ ที่โกดังมีกล้องวงจรปิดหรือเปล่า?” ทามทอยมองไปที่หัวหน้าทีม
หัวหน้าทีมส่ายหัว “ไม่มีครับ”
ทามทอยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยแต่ยังไม่ท้อถอย เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณให้สิ่งนี้กับผมได้ไหม?”
เขาชี้ไปที่ขวดแก้วในมือหัวหน้าทีม
แม้ว่าหัวหน้าทีมจะสงสัยว่าเขาต้องการสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แต่ท้ายที่สุดก็มอบมันให้กับเขา
ทามทอยขอบคุณเขาและนำขวดแก้วกลับไปยังตำแหน่งที่ยืนอยู่ก่อนหน้าแล้วนั่งลง
โกดังไม่มีกล้องวงจรปิด ดังนั้นหารหาขโมยจึงไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางอื่น จริงสิ ตรวจสอบลายนิ้วมือ!
หวังว่าจะมีลายนิ้วมือของขโมยบนขวดแก้วนี้บ้าง
อันที่จริงทามทอยคิดอยู่ในใจแล้วว่าใครเป็นขโมย
ในกลุ่มของพวกเขา นอกจากส้มเปรี้ยวแล้วเขาก็ไม่นึกถึงใครอีกเลย แต่เขาต้องหาหลักฐานมัดตัวให้ได้ ถ้ายังไม่มีหลักฐานด้านรอยนิ้วมือ เขาจะไม่พูดอะไรมากเด็ดขาด
ณ ค่ำคืนนั้น
พวกเขาแบ่งออกเป็นสองแถว นั่งรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร
ส้มเปรี้ยวก็อยู่ที่นั่นด้วย อาจเป็นเพราะตกใจเรื่องในตอนกลางวัน ดังนั้นเธอจึงดูหวาดกลัว ใบหน้าของเธอยังคงซีดขาวดูเหมือนคนป่วย แต่ไม่มีใครเลยสักคนในที่นี้ที่สงสารเธอ
ตามปกติทั่วไปแล้ว ทุกคนก็พยายามเพิกเฉยต่อเธออยู่เป็นนิจ
ทว่าตอนนี้ทุกคนทำเหมือนเธอเป็นอากาศ แม้แต่เปปเปอร์ก็ดูเย็นชาและไม่ดูแลเธอเหมือนตามปกติ ไม่ใส่ใจในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ
สิ่งนี้ทำให้ส้มเปรี้ยวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ เธอกำตะเกียบเอาไว้และมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง “เปปเปอร์คะ คุณอารมณ์ไม่ดีเหรอ?”