รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 199 เกิดเหตุไม่คาดฝัน
เปปเปอร์กำหมัดแน่นขึ้นกว่าเดิม “ทำไม”
มายมิ้นท์มองเขาแปลกๆครู่หนึ่ง “ทำไมอะไรกัน เดิมเด็กคนนี้ก็เป็นสิ่งมาอย่างไม่คาดคิด ฉันไม่ได้รักเขา อีกอย่างพ่อผู้ให้กำเนิดเขาก็ไม่ได้วางแผนยอมรับเขา ฉันจะเก็บไว้ทำไม”
แม้ว่ามายมิ้นท์จะรู้ว่าคำพูดนี้ของตัวเองไร้ความปราณี แต่ไหนเลยจะไม่ใช่การแสดงออกถึงความรับผิดชอบ
ไม่อย่างนั้นเด็กที่พ่อไม่ยอมรับ แม่ก็ไม่รักคนหนึ่ง จะน่าสงสารมากเพียงใด
เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก “ถ้าหากว่าพ่อแท้ๆของเด็กคนนี้ยอมรับเขา คุณจะ…คลอดเขาออกมาไหม”
“หือ” มายมิ้นท์ตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง
เปปเปอร์ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า ตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว ทำให้เธอเกิดความสงสัยขึ้นได้ง่าย แววตาก็หนักอึ้ง รีบเอ่ยต่อว่า “ไม่มีอะไร ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
มายมิ้นท์เสยผมอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “แน่นอนว่าไม่”
เปปเปอร์ขมวดคิ้ว
นี่เธอไม่ยินยอมจะคลอด?
คล้ายกับมองออกว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ มายมิ้นท์หลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาศัยอะไรให้ฉันคลอดลูกที่ฉันไม่รัก ให้ชายหนุ่มที่ฉันไม่รู้จักคนหนึ่ง”
เปปเปอร์หมดคำจะพูด
ใช่แล้ว เธอไม่รู้ว่าคนในคืนวันนั้นเป็นเขา
ดังนั้น เธออาศัยอะไรมาคลอด
เกรงว่า ถึงเธอจะรู้ว่าเป็นเขา เธอก็ไม่คลอดเช่นกัน
เธอพูดแล้วว่า จะไม่คลอดลูกให้กับคนที่ไม่ได้รัก และเขาในตอนนี้ก็เป็นคนที่เธอไม่รักคนนั้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เปปเปอร์ก็เม้มปากแน่น ในใจไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
จู่ๆเขาก็อยากถามเธอมากว่า ทำไมเธอถึงไม่รัก
ก็รักมาแล้วหกปีไม่ใช่หรือ สุดท้ายภายในระยะเวลาสั้นๆสองเดือน บอกว่าไม่รักก็ไม่รักแล้ว ปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง
เขาถึงกับสงสัยว่า เธอเคยรักเขาจริงๆหรือไม่กันแน่ หรือว่าเพียงแค่หยอกเขาเล่นเท่านั้น?
ในตอนที่ความคิดในการถามมายมิ้นท์ของเปปเปอร์รุนแรงขึ้น รุนแรงจนถึงขั้นจะอ้าปากถาม เสียงของผู้จัดการก็ดังขึ้นกะทันหัน “ตอนนี้ เชิญคุณพ่อคุณแม่ทั้งสี่ท่านมัดเชือกให้เรียบร้อย เกมส์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วครับ”
ทันใดนั้น เปปเปอร์ก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดลงบนร่าง ดับความหุนหันพลันแล่นทั้งหมดของเขาไป
เขามองผู้จัดการด้วยสายตาโกรธขึ้ง สีหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามอง
มายมิ้นท์เห็นเขาถือเชือกแดงเอาไว้รีรอไม่ยอมขยับ กลับมองไปทางผู้จัดการด้วยสีหน้าโมโห ก็รู้สึกมึนงงขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไปอีก
เป็นพวกอารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ!
“ประธานเปปเปอร์ ส่งเชือกให้ฉัน ฉันมัดเอง” มายมิ้นท์ยื่นมือไปทางเปปเปอร์
เปปเปอร์ถอนสายตากลับมาจากผู้จัดการ มองมาทางเธอ
มองเสื้อผ้าที่เธอสวมแล้วก็ขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง คุณไม่สะดวกที่จะก้มตัว ผมเอง”
พูดแล้ว เขาก็ย่อตัวลง เริ่มมัดเชือก
มายมิ้นท์ก้มหน้ามองตามสายตาที่เขามองตัวเองเมื่อครู่ มองเสื้อคอวีของตัวเองแล้วหน้าก็แดงระเรื่ออย่างอดมิได้
เธอยังคิดไม่ถึงเลยว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่เหมาะสมที่จะย่อตัวลง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะคิดถึงจุดนี้
มองไม่ออกเลยว่า เขาก็มีด้านที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ด้วย
มายมิ้นท์มองศีรษะของชายหนุ่มด้วยแววตาซับซ้อนเล็กน้อย
ชายหนุ่มที่กำลังผูกเชือกรู้สึกได้ถึงสายตาเหนือศีรษะจึงเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นมายมิ้นท์จ้องมาที่ตัวเองอย่างเหม่อลอย เขาหรี่ตาลง “ทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไร” มายมิ้นท์กวาดตามอง และเบนสายตาจากไป
เมื่อเห็นเธอไม่ยอมพูด เปปเปอร์ก็นัยน์ตาหม่นลง และไม่ได้ฝืนให้เธอพูด เขาลุกขึ้น “โอเค เรียบร้อยแล้ว ขยับดูเล็กน้อย ลองดูว่าความแน่นเท่านี้เหมาะสมหรือไม่”
มายมิ้นท์ส่งเสียงอืม ขยับน่องไปมาเล็กน้อยอย่างเชื่อฟัง
เนื่องจากน่องของเธอกับเปปเปอร์ถูกมัดอยู่ด้วยกัน
เมื่อเธอขยับ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูถูกน่องของเปปเปอร์เป็นธรรมดา
เปปเปอร์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคันยุบยิบเล็กน้อยที่ส่งผ่านมาจากน่อง ลูกกระเดือกขยับไปมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ลองเสร็จแล้วหรือยัง”
มายมิ้นท์ที่ตั้งใจปรับตัวให้ชินกับเชือกบนน่อง ก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา พยักหน้าตอบคำถามว่า “เรียบร้อยแล้ว ใช้ได้”
เมื่อเห็นเธอไม่ขยับแล้ว เปปเปอร์ก็โล่งอกเล็กน้อย “อีกครู่หนึ่งตอนที่เกมส์เริ่ม โอบเอวผมเอาไว้ หลังจากนั้นก็ก้าวเท้าข้างที่มัดติดกันก่อน ก้าวเท้ายาวเล็กน้อยตามจังหวะของผม เข้าใจไหม”
มายมิ้นท์ก็รู้ว่าการที่เขาพูดแบบนี้นั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการหกล้ม จึงไม่ได้คัดค้านเรื่องที่เขาให้เธอโอบเอว พลางเอ่ยรับคำ “ได้ ฉันรู้แล้ว”
เมื่อเห็นเธอจำเอาไว้แล้ว เปปเปอร์ก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก
ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ เขายังกังวลว่าเธอจะปฏิเสธการโอบเอว
โชคดีที่เธอก็รู้ว่าเพื่อเกมส์ ไม่อย่างนั้นเขาต้องคิดหาวิธีอื่นมารักษาความสมดุล เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจังหวะชุลมุนในตอนที่เดินจนทำให้หกล้ม
ในไม่ช้า เกมส์ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
มายมิ้นท์กับเปปเปอร์ยกเท้าขึ้นอย่างรู้ใจกันมากตามเสียงนกหวีดที่ดังขึ้นของผู้จัดการ ก้าวเท้าแรกออกจากจุดสตาร์ท
ทว่าคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวหมายเลข 1 กลับเกิดความผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น
อย่างแรกสองคนนั้นไม่ได้โอบเอวและไหล่ของฝ่ายตรงข้าม ลำดับต่อมาทั้งสองคนก็ไม่ได้ปรึกษากันให้เรียบร้อยว่าจะก้าวเท้าไหนก่อน จึงทำให้ก้าวเท้าไม่เหมือนกัน ยังไม่ทันจะได้ออกจากจุดสตาร์ทก็ล้มลงเสียแล้ว
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า มายมิ้นท์ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือการมองการณ์ไกลของเปปเปอร์ที่พูดคุยเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมีสภาพเหมือนกับครอบครัวหมายเลข 1
“ตั้งใจหน่อย” รู้สึกได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายกำลังดูเรื่องสนุก เปปเปอร์ก็บีบไหล่เธอ เป็นสัญญาณให้ได้รีบดึงสติกลับมา
มายมิ้นท์ก็รู้ว่ายังอยู่ระหว่างการแข่งขัน จึงหันหน้ากลับมาโดยไม่มองอีก
ตลอดทาง ทั้งสองคนเดินได้อย่างราบรื่นผิดปกติ
เมื่อเห็นว่าจะถึงเส้นชัยตรงหน้าแล้ว ทันใดนั้น เปปเปอร์ก็ได้ยินเสียงแกร๊กๆเล็กน้อยดังลอยมาจากเหนือศีรษะ
เสียงนั้นราวกับอะไหล่อะไรสักอย่างคลายตัวออก
เปปเปอร์ขมวดคิ้ว เงยหน้ามองขึ้นไป
ก็เห็นจอภาพเบื้องหน้าที่รองรับเชือกเส้นชัยกำลังโงนเงนไปมา
เปปเปอร์เข้าใจได้ในทันทีว่า เสียงเมื่อครู่นี้ ก็คือเสียงที่ดังมาจากจอภาพที่โงนเงน จะต้องเป็นน็อตที่ยึดจอภาพนี้เอาไว้หลวมแน่นอน ดังนั้นจอภาพถึงได้เป็นแบบนี้
ร้านอาหารนี้กำลังทำอะไรกันแน่ ไม่ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ละเอียดเลยหรือ
เปปเปอร์หยุดนิ่ง สีหน้าย่ำแย่มาก กลิ่นอายสังหารแผ่ขยายรอบกาย
มายมิ้นท์ก็รู้สึกได้ ตอนที่จะถามเขาว่าทำไมไม่เดิน ก็เห็นว่าเขามีสีหน้าเปลี่ยนไป หลังจากนั้นทั้งร่างก็ล้มมาทางเธอ โอบเธอเอาไว้แล้วกลิ้งไปบนพื้น
ครืน!
ทั้งสองคนเพิ่งจะกลิ้งไปอีกด้าน จอภาพขนาดยักษ์ก็ล้มลงมากระแทกลงบนจุดที่ทั้งสองคนเพิ่งจะหยุดยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ชั่วขณะหนึ่งที่คนทั้งร้านอาหารล้วนถูกอุบัติเหตุตรงหน้าทำให้ตกใจ โดยเฉพาะผู้จัดการที่เป็นพิธีกรจัดเกมส์ในครั้งนี้ ก็เกือบจะหมดสติไป เขารีบวิ่งเข้าไป ถามอย่างร้อนรนว่า “คุณผู้ชายคุณผู้หญิง พวกคุณไม่เป็นอะไรนะครับ”
สวรรค์คุ้มครอง อย่าเกิดเรื่องขึ้นเด็ดขาดนะ
ไม่อย่างนั้น ตำแหน่งนี้ของเขาก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
ไมโลวิ่งมาถึงข้างกายมายมิ้นท์ด้วยใบหน้าขาวซีด และร้องไห้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้ตกใจไม่น้อย “แม่ครับ ผมขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของผม ผมไม่ควรต้องการกันดั้มตัวนั้น ขอโทษครับแม่…”
เขาร้องไห้สะอื้น ในใจก็รู้สึกเสียใจมาก
เป็นเพราะเขาคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเขาที่ก่อขึ้น
ถ้าหากว่าเขาไม่ต้องการกันดั้มตัวนั้นมาให้ได้ อาสะใภ้ก็ไม่ต้องพบกับเรื่องแบบนี้
เดิมมายมิ้นท์อยู่ในสภาวะตระหนกตกใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของไมโล ความตื่นตระหนกก็ค่อยๆหายไป หันไปยิ้มให้กับไมโลเล็กน้อย “ไมโลเด็กดี อย่าร้องนะจ๊ะ โชคดีที่เปป…พ่อของหนูมาทันเวลา ดังนั้นพวกเราจึงไม่เป็นอะไร”
“จริงหรือครับ” ไมโลมองเธอด้วยหน่วยตาที่แดงก่ำ
มายมิ้นท์ส่งเสียงอืม “จริงจ้ะ”
ผู้จัดการที่อยู่อีกด้านได้ยินก็โล่งใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีครับๆ”
มายมิ้นท์หันหน้าไปมองชายหนุ่มที่แผ่อยู่บนร่างของเธอ “เปปเปอร์ คุณลุกขึ้นก่อนได้ไหม”
เปปเปอร์ไม่ได้ขยับ
มายมิ้นท์ตะโกนเรียก “เปปเปอร์?”
คราวนี้ ชายหนุ่มมีปฏิกิริยาในที่สุด
เขาเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าขาวซีด มองมาทางเธอด้วยสภาพเหงื่อเต็มใบหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากจะปิดบังความเจ็บปวดว่า “ขอโทษด้วย ผมอาจจะลุกไม่ได้”
มายมิ้นท์นัยน์ตาเบิกโพลง “คุณเป็นอะไรน่ะ คุณได้รับบาดเจ็บหรือ”
ทั้งตัวเขาทับอยู่บนร่างของเธอ เธอมองไม่เห็นว่าสรุปแล้วเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
แต่ท่าทางของเขาในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ
เปปเปอร์ซุกศีรษะลงกับซอกไหล่เธออีกครั้ง รับคำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เท้าผมขยับไม่ได้”