รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 223 ความโกรธของเยี่ยมบุญ
ริมฝีปากบางๆของเปปเปอร์กระตุกไปมา อยากจะบอกว่าที่เขาตกหลุมรักส้มเปรี้ยว เป็นเพราะเพราะฉันเห็นคุณสมบัติที่ดีงามของเธอในจดหมายเหล่านั้นแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขากลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ส้มเปรี้ยวมีคุณสมบัติที่ดีงามอะไรไหม?
แน่นอนว่าไม่มีบุคลิกที่สอง แต่ก็ถือว่าเป็นบุคลิกหลักๆของส้มเปรี้ยว
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขาหาไม่เจอเลย แต่ข้อเสียกลับมีมากมายก่ายกอง เช่นใจแคบ ชอบต่อล้อต่อเถียง
สรุปได้ว่าส้มเปรี้ยวในตอนนี้ ไม่ตรงกับส้มเปรี้ยวที่มีชีวิตชีวา จิตใจดี และดีงามคนนั้นอย่างที่เขาเห็นในจดหมายโดยสิ้นเชิง
จริงๆแล้วเขาก็รักเธอไม่ไหวอยู่บ้างเช่นกัน แต่เขาเคยสาบานก่อนที่จะพบกับส้มเปรี้ยวว่า เขาจะทำให้ส้มเปรี้ยวมีความสุขไปตลอดชีวิต
ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรักเธอไม่ไหว แต่เขาก็จะไม่ยอมเสียเธอไปเช่นกัน
เว้นเสียแต่ว่า ส้มเปรี้ยวจะไม่ใช่คนที่สื่อสารทางจดหมายกับเขาคนนั้น แต่มันจะเป็นไปได้ไหมนะ?
การดูถูกตัวเองแวบวาบขึ้นมาในดวงตาของเปปเปอร์ แล้วมันก็หายวับไป และหลังจากที่เขารับไวน์แดงแก้วหนึ่งที่อยู่ในถาดของบริกรมาแล้ว เขาจึงตอบว่า “ตกหลุมรักก็คือตกหลุมรัก ไม่มีเหตุผลหรอกครับ”
“อภัยให้ฉันด้วยที่ต้องพูดตรงๆ ประธานเปปเปอร์ดีเลิศขนาดนี้ ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรไปตกหลุมรักผู้หญิงอย่างคุณส้มเปรี้ยวเลย และฉันก็ไม่เชื่อว่าประธานเปปเปอร์จะมองไม่ออกว่าแท้ที่จริงแล้วคุณส้มเปรี้ยวเป็นคนยังไงกันแน่” คุณหญิงนิภาแกว่งแก้วไวน์และยิ้มให้เขา
เปปเปอร์เม้มริมฝีปากล่าง แล้วพูดว่า “ผมทราบครับ แต่ผมเคยให้คำมั่นสัญญากับส้มเปรี้ยวเอาไว้แล้ว”
“ประธานเปปเปอร์เป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญาที่ดีจริงๆ แต่ฉันพูดจริงๆนะ ฉันหวังว่าประธานเปปเปอร์จะเลิกกับคุณส้มเปรี้ยว เธอไม่เหมาะกับคุณแล้วก็ไม่คู่ควรกับคุณด้วย เธอไม่มีอะไรเทียบอดีตภรรยาของคุณได้เลย และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอจะต้องพบกับความหายนะในสักวัน หวังว่าประธานเปปเปอร์จะพิจารณาให้ดีดีนะคะ” เมื่อคุณหญิงนิภาพูดจบก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ที่เธอพูดทั้งหมดนี้ เพราะเห็นแก่หน้าของท่านย่าตระกูลนวบดินทร์ทั้งนั้น ตอนที่เธอยังสาว เธอถูกแม่สามีรังแก และท่านย่าตระกูลนวบดินทร์ได้ช่วยเหลือเธอไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงรับความเมตตานี้เอาไว้ และมาเตือนเปปเปอร์
ส่วนเปปเปอร์จะฟังหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ
ในขณะที่เปปเปอร์กำลังมองแผ่นหลังของคุณหญิงนิภา นัยน์ตาของเขาก็ลึกลง ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ผ่านไปสักพัก เขาก็ดื่มไวน์แดงเสร็จ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และส่งข้อความไปหามายมิ้นท์ว่า : เรื่องในวันนี้ ผมขอโทษนะ
มายมิ้นท์กำลังนั่งคุยกับราเม็งและลาเต้อยู่ในรถ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอจึงหยิบมันออกมาดู จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เมื่อราเม็งที่กำลังขับรถอยู่เห็นความหงุดหงิดที่อยู่บนใบหน้าของเธอผ่านกระจกมองหลัง จึงถามว่า “พี่ ใครอ่ะ?”
“เปปเปอร์น่ะ” มายมิ้นท์ตอบ
ลาเต้ที่นั่งข้างคนขับรถรีบหันหน้ามา แล้วถามว่า “เขาส่งมาหาเธอทำไม?”
“ไม่รู้สิ เขาส่งข้อความหาฉัน ฉันขอดูก่อนนะ” แล้วมายมิ้นท์ก็เปิดอ่านข้อความของเปปเปอร์
เมื่อมองดูข้อความที่อยู่บนหน้าจอ เธอก็ยิ้มเยาะขึ้นมาครู่หนึ่ง
ลาเต้แย่งโทรศัพท์มาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ และกลอกตามองบน แล้วก็พูดว่า “เขามาขอโทษแทนส้มเปรี้ยวอีกแล้วล่ะสิ หลายเดือนมานี้ เขาขอโทษแทนส้มเปรี้ยวมากี่ครั้งแล้ว เขาไม่เอือม แต่ฉันเอือมไปหมดแล้วมายมิ้นท์ฉันจะตอบเธอเอง”
ขณะที่เขาพูด เขาก็คลิกไปที่กล่องตอบกลับข้อความ แล้วเริ่มพิมพ์ตัวอักษร เขาพิมพ์ไปพลาง ท่องไปพลาง “ถ้าคุณคิดว่าอยากจะขอโทษฉันจริงๆ ก็ส่งส้มเปรี้ยวเข้าคุกไปซะ นี่จึงจะแสดงให้เห็นว่าคุณได้ขอโทษอย่างจริงใจ ขอโทษด้วยวาจาเท่านั้น แต่กลับไม่ทำอะไรเลย คำขอโทษที่ไม่จริงใจแบบนี้ คุณเอากลับไปสร้างความประทับใจให้ตัวเองเถอะ ส่ง!”
ลาเต้คืนโทรศัพท์ให้กับมายมิ้นท์ แล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้างมายมิ้นท์ ข้อความที่ฉันตอบกลับไปใช้ได้ไหม”
“ไม่เลวเลยทีเดียว” ยากนักที่ มายมิ้นท์จะสนับสนุนคำพูดของเขา
ลาเต้จึงรู้สึกมีความสุขในทันที
ราเม็งมองค้อนเขา หลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่สาว จริงๆแล้วผมก็ทำได้เหมือนกันนะ”
“พี่เชื่อมั่นในตัวนายนะ แต่นายตั้งใจขับรถเถอะ อย่ามองไปรอบๆ มันอันตราย” มายมิ้นท์ตบที่นั่งของคนขับไปมา
ราเม็งโอดครวญขึ้นมาด้วยความน้อยใจ
ลาเต้ยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้เขา
ราเม็งขี้เกียจจะไปสนใจเขา
ในงานเลี้ยง เมื่อเปปเปอร์เห็นข้อความที่ตอบกลับมาของมายมิ้นท์ เขาก็หรี่ตาลง
เขามองดูก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ข้อความที่มายมิ้นท์ตอบกลับมา
หลังจากการหย่าร้าง ท่าทีของมายมิ้นท์ที่มีต่อเขานั้นเย็นชาอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าเขาเป็นคนส่งมา เธอก็จะตอบกลับมาเพียงสั้นๆได้ใจความมาก และจะไม่ตอบกลับมายาวขนาดนี้
ดังนั้นคนที่ตอบข้อความนี้ คือราเม็งหรือลาเต้กันแน่?
คนสองคนนี้กำลังตอบกลับด้วยโทรศัพท์มือถือของมายมิ้นท์จากที่ไหน ที่บ้านของพวกเขา หรือที่บ้านของมายมิ้นท์?
แต่ไม่ว่าระหว่าพวกเขาใครจะตอบ ก็ไม่สำคัญเท่าพวกเขาอยู่ที่บ้านของตัวเอง หรืออยู่บ้านมายมิ้นท์
ภายในใจของเปปเปอร์รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากและอยากจะขยี้โทรศัพท์ให้แหลกด้วยความหงุดหงิด
เขานวดคลึงหว่างคิ้วไปมา ระงับความโกรธที่อยู่ในใจเอาไว้ แล้วพิมพ์ถามไปว่า: มายมิ้นท์ล่ะ?
ในขณะที่มายมิ้นท์กำลังมองข้อความตอบกลับของเปปเปอร์ ก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมองออกว่าข้อความเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ข้อความที่เธอตอบกลับไป
แต่ถ้าเขามองออกแล้วอย่างไร เธอยังต้องมาอธิบายให้เขาฟังอีกหรือ?
ภายในแววตาของมายมิ้นท์มีรอยยิ้มเยาะเย้ยแวบวาบขึ้นมา หลังจากนั้นเธอก็ปิดโทรศัพท์ลง และขี้เกียจที่จะไปมองมันอีก
อีกด้านหนึ่ง เปปเปอร์รออยู่หลายนาทีแล้วก็ไม่ได้รับข้อความใดใดเลย เขาจึงเข้าใจว่ามายมิ้นท์ไม่ได้ตอบกลับมาแล้ว ริมฝีปากบางๆของเขาก็เม้มจนแน่นกลายเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง
ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเธอยังไม่กลับ?
กำลังยุ่งอยู่ใช่ไหมนะ? หรือกำลังอยู่กับราเม็งหรือลาเต้…….
เพล้ง!
เปปเปอร์ทุบแก้วไวน์ที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
ทันใดนั้น ก้านของแก้วไวน์ก็แตกหักเสียแล้ว
ช่องที่แตกหักได้เฉือนฝ่ามือของเขาแล้ว และเลือดที่ผสมกับไวน์แดงก็ไหลลงมาที่โต๊ะ
เมื่อบริกรที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาจัดการ “ประธานเปปเปอร์ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ผมจะไปเรียกหมอให้คุณนะครับ”
“ไม่ต้อง” เปปเปอร์หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาหนึ่งแผ่น แล้วเช็ดแผลที่มือของเขาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดใดใดเลย หลังจากเช็ดแผลเสร็จ เขาก็โยนกระดาษทิชชู่ หลังจากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ประดับชุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่อยู่ตรงหน้าอกมาพันรอบฝ่ามือ ซึ่งเขาได้ถือเป็นผ้าพันแผลไปแล้ว
“ผมมีธุระนิดหน่อยเลยต้องขอตัวกลับก่อน คุณบอกท่านธนวัฒน์และคนอื่นๆด้วยนะ”
พอพูดเสร็จ เขาก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่อาจไปคิดถึงมายมิ้นท์กำลังทำอะไรกับราเม็ง หรือกำลังทำอะไรกับลาเต้ได้ ตราบใดที่คิดถึง ในใจของเขาก็เต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก
ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องไปหามายมิ้นท์เพื่อดูด้วยตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้วมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเธอกับราเม็งและลาเต้หรือไม่
ระหว่างทาง เปปเปอร์ขับรถเร็วมาก
เมื่อเห็นว่ากำลังจะไปถึงคอนโดพราวฟ้า ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เปปเปอร์ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดสักครู่หนึ่ง แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายโดยไม่ได้มองดู และพูดว่า “ฮัลโหล?”
“เปปเปอร์ ลุงเอง”
เสียงของเยี่ยมบุญดังขึ้นมาจากโทรศัพท์
เปปเปอร์ควบคุมพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว “คุณลุง มีอะไรเหรอครับ?”
“ลุงอยากให้คุณมาดูส้มเปรี้ยวหน่อยน่ะ” เยี่ยมบุญถอนหายใจแล้วตอบกลับมา
“ส้มเปรี้ยวเป็นอะไรไปหรือครับ?” น้ำเสียงของเปปเปอร์สงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ
เยี่ยมบุญตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เกิดอะไรขึ้น เขาไม่ควรกังวลใจและรู้สึกตื่นเต้นหรอกเหรอ?
ทำไมเขาถึงได้สงบนิ่งอย่างนี้?
แต่ทว่า เยี่ยมบุญกลับคิดว่าตัวเองคงคิดมากเกินไปขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาจึงบีบดั้งจมูกไปมาแล้วพูดว่า “ก็เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงนั่นแหล่ะที่ทำให้ส้มเปรี้ยวรู้สึกเสียหน้า หลังจากที่กลับมาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องและร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ว่าลุงจะเกลี้ยกล่อมยังไงก็ออกมาเลย ในฐานะที่ลุงเป็นพ่อ ลุงกังวลว่าเธอจะร้องไห้จนสุขภาพร่างกายย่ำแย่ ดังนั้นลุงจึงไม่มีทางเลือกอื่นก็เลยต้องโทรหาคุณ และขอให้คุณมาปลอบใจเธอสักหน่อย และถือโอกาสมาขอโทษส้มเปรี้ยวด้วย”
เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “คุณจะให้ผมไปปลอบใจส้มเปรี้ยวผมก็เข้าใจได้ แต่ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะครับ? ผมไม่คิดว่าผมจะมีส่วนไหนที่ต้องขอโทษส้มเปรี้ยว”
“ทำไมจะไม่มี!” เยี่ยมบุญตีหน้าครึม “ในงานเลี้ยง ส้มเปรี้ยวถูกมายมิ้นท์และคนพวกนั้นหัวเราะเยาะ ในฐานะที่คุณเป็นคู่หมั้นคิดไม่ถึงว่าคุณไม่ช่วยอะไรเธอเลย หรือว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องขอโทษล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเปปเปอร์ก็เย็นชาขึ้นมา
ที่แท้นี่คือความคิดของคนตระกูลภักดีพิศุทธิ์งั้นเหรอ?
ไม่ยอมรับความผิดของตนเอง แล้วยังอยากจะให้เขาช่วยพวกเขาอีก
ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่ทราบว่า คนตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถึง……น่าไม่อายขนาดนี้ล่ะ!
“คุณลุง เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันชัดเจนมากว่าเป็นเพราะส้มเปรี้ยวคนใส่ร้ายมายมิ้นท์ แล้วก็เป็นเพราะส้มเปรี้ยวสวมเสื้อผ้าผิด เมื่อเธอทำผิด อย่างนั้นเธอก็ต้องยอมรับความผิดของตัวเองโดยไม่หวั่นเกรงใดใดทั้งสิ้น แทนที่จะปล่อยให้คู่หมั้นอย่างผมละเลยความผิดของเธอและไปปกป้องเธออย่างไร้เหตุผล นี่ไม่ใช่รักเธอ แต่มันเป็นการทำร้ายเธอต่างหาก!” เปปเปอร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม