รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 227 ความสงสัยของท่านย่า
ภายในหัวใจของส้มเปรี้ยวเต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องถามแบบนั้น แต่ก็เธอยังคงบีบเค้นคำตอบที่มุมปากออกมาว่า “ใช่……ใช่ค่ะ”
ท่านย่ายิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง แล้วพูดว่า “นี่มันก็แปลกมากเลยนะ เปปเปอร์เคยบอกฉันว่า ก่อนหน้านี้พวกเธอเคยเป็นเพื่อนทางจดหมายกัน และรู้จักความชอบของกันและกัน แต่ตอนนี้เธอกลับบอกฉันว่า เธอไม่รู้ว่าดอกไม้ที่เปปเปอร์ชอบคือดอกอะไร เธอเป็นเพื่อนทางจดหมายของเปปเปอร์จริงๆใช่ไหม?”
รูม่านตาของส้มเปรี้ยวหดตัวลง เธอจึงรีบลู่ม่านตาลงเพื่อซ่อนความตื่นตระหนกและความประหม่าที่อยู่ในดวงตาของเธอ แล้วตอบโต้ด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไรว่า “ใช่แน่นอนค่ะ แต่หนูอยู่ในสภาวะผักมาหกปีแล้ว หนูก็เลยจึงลืมไปหลายเรื่องแล้ว และเปปเปอร์ก็รู้เรื่องนี้ด้วยนะคะ”
เธอเตะบอลให้เปปเปอร์ ด้วยการบอกท่านย่าว่า เปปเปอร์ไม่ถือสาเลยที่เธอลืมเรื่องเหล่านี้
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าท่านย่าจะยังคงสงสัยเธอ แต่เธอก็จะไม่อาจกัดเธอไม่ปล่อยได้อีกต่อไปแล้ว
“งั้นเหรอ?” ท่านย่าเชิดคางขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อเหมือนกัน
ในเวลานั้นเอง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักออกอย่างกะทันหัน
พิศมัยเดินพูดไปด่าไปเข้ามาในห้อง
ท่านย่าทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วตำหนิเสียงดังว่า “ทำไมถึงได้ส่งเสียงดังขนาดนี้ ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่คือโรงพยาบาล?”
เมื่อพิศมัยเห็นว่าท่านย่ายังอยู่ จึงรีบขจัดความโหดร้ายน่ากลัวที่อยู่บนใบหน้าออกไป แล้วยิ้มสู้และพูดว่า “คุณแม่คะ ก็หนูไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอคะ?”
“หึ แต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลนวบดินทร์ได้สิบกว่าปีแล้ว ยังคงหยาบคายเหลือทนอยู่แบบนี้ ไม่มีความก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย” ท่านย่าพูดอย่างเอือมระอา
แม้ว่าพิศมัยจะไม่ยินยอมด้วยความจริงใจ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะหักล้าง
ส้มเปรี้ยวยิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณป้าคะ”
พิศมัยรู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที “อ้าว ส้มเปรี้ยวก็มาด้วยเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเปปเปอร์ในฐานะที่หนูเป็นคู่หมั้น หนูก็ควรมาเยี่ยมเขาแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถ้าพ่อแม่ของหนูไม่ยุ่งมากจนเกินไป พวกท่านก็คงจะมาด้วยน่ะค่ะ” ส้มเปรี้ยวเสยผมขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
พิศมัยเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆเธอ แล้วดึงมือของเธอมาตบไปมาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่ความพออกพอใจ “เด็กดี มีหนูอยู่ข้างกายเปปเปอร์ คือโชคดีของเปปเปอร์จริงๆ”
“คุณป้า……” ใบหน้าของส้มเปรี้ยวแดงแล้วแดงอีก และเธอก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
เมื่อท่านย่าเห็นดังนั้นก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “โชคดีงั้นเหรอ? ฉันว่ามันไม่ใช่นะ ไม่ทำให้ตระกูลนวบดินทร์มีแต่ความเลวร้ายก็ขอขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
สีหน้าของส้มเปรี้ยวแข็งทื่อ และเธอก็อับอายอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ภายในดวงตาจึงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
อีแก่นี่หาจะหาเรื่องเธอให้ได้
พิศมัยก็ไม่มีความสุขอยู่บ้างเช่นกัน จึงพูดว่า “คุณแม่คะ ส้มเปรี้ยวเป็นคู่หมั้นที่เปปเปอร์เป็นคนเลือก แม่พูดอย่างนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะคะ”
“ไม่ดีตรงไหน ที่ฉันพูดมันไม่ใช่เรื่องจริงหรือไง? เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์เมื่อคืนนี้ แพร่กระจายไปทั่ววงสังคมแล้ว ใครเขาจะไม่รู้ว่าลูกสะใภ้ในอนาคตคนนี้ของหล่อนน่ะไม่ใช่คนที่มีบทบาทธรรมดาๆเลย งั้นหล่อนก็คอยดูเธอเข้ามาจัดการกับแม่สามีอย่างหล่อนไปเถอะย่ะ” ท่านย่าตอบเธออย่างยั่วเย้าและเหน็บแนมไปหนึ่งประโยค
“คุณแม่คะ แม่ก็พูดเกินไปแล้วนะ ส้มเปรี้ยวจะทำอย่างนั้นกับหนูได้ยังไงกันคะ ถูกไหมจ๊ะส้มเปรี้ยว?” พิศมัยมองไปทางส้มเปรี้ยวที่อยู่ข้างๆด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อย
ส้มเปรี้ยวพยักหน้าซ้ำๆ “วางใจเถอะค่ะคุณป้า คุณป้าเป็นแม่ของเปปเปอร์ ความกตัญญูที่หนูมีต่อคุณป้าก็ยังไม่ทันได้ตอบแทนจนหมดเลย หนูจะทำกับคุณป้าแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ”
“เห็นไหมคะคุณแม่”เมื่อได้ยินเช่นนี้ พิศมัยก็ทิ้งความกังวลที่มีเมื่อสักครู่นี้ไว้ข้างหลังทันที แล้วมองดูท่านย่าอย่างภาคภูมิใจ
ท่านย่าพูดว่าคนโง่อยู่ในใจ และขี้เกียจไปสนใจเธอ
“ว่าแต่คุณป้าคะ เกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าของคุณป้าคะ? ทำไมถึงได้ยับยู้ยี้และเปียกโชกอยู่นิดหน่อยแบบนี้ล่ะคะ” ส้มเปรี้ยวสัมผัสแขนเสื้อของพิศมัย แล้วถามขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นพิศมัยก็ชักสีหน้าลงมา แล้วพูดด้วยเสียงที่แหลมสูงว่า “ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะนังผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นอย่างมายมิ้นท์นั่นแหล่ะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าเอาน้ำมาสาดป้า ถ้าไม่ใช่เพราะป้า……”
“หล่อนไปหามิ้นท์มาเหรอ?” ท่านย่าตบหัวเตียงหนึ่งที และพูดตัดบทเธอ
พิศมัยกลอกลูกตาไปรอบๆ แล้วพูดว่า “หนู……”
“อย่ามัวแต่อ้ำๆอึ้งๆ รีบพูดมา ว่าหล่อนไปหามิ้นท์มาใช่ไหม?” ท่านย่าซักถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พิศมัยยอมทุ่มสุดตัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เธอจึงยืดคอขึ้นแล้วตอบว่า “หนูไปหามันแล้วมันยังไงคะ ใครใช้ให้มันเป็นคนทำให้เปปเปอร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ล่ะคะ”
ส้มเปรี้ยวกำมือแน่นทันที
อะไรกัน?
อุบัติเหตุทางรถยนต์ของเปปเปอร์ เกิดจากมายมิ้นท์อย่างนั้นเหรอ?
“ใครบอกหล่อนว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ของเปปเปอร์เป็นความผิดของมิ้นท์” ในขณะที่ท่านย่ากำลังมองพิศมัย ความโกรธของเธอก็ได้ระเบิดออกมา
พิศมัยทำเสียงฮึดฮัด แล้วพูดว่า “เปปเปอร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คอนโดพราวฟ้า ซึ่งนั่นเป็นที่ที่มายมิ้นท์อาศัยอยู่ มายมิ้นท์จะต้องตัดใจจากเปปเปอร์ไม่ได้ และอยากจะแต่งงานกับเปปเปอร์ใหม่ ดังนั้นก็เลยโทรเรียกเปปเปอร์ในตอนกลางดึก ทำให้เปปเปอร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดังนั้นถ้ามันไม่ได้เป็นคนทำ แล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะคะ?”
ส้มเปรี้ยวก้มศีรษะลงเล็กน้อย และครึ่งหนึ่งของใบหน้าก็ซ่อนอยู่ในเงามืด ทำให้ใครๆก็มองไม่เห็นความริษยาและความเกลียดชังที่อยู่บนใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน
ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอได้ยินพ่อของเธอพูดว่าเปปเปอร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ประมาณห้าทุ่มเมื่อคืนนี้ หลังจากนั้นเขาก็รีบมาอย่างรวดเร็ว แต่เธอกลับไม่ได้ถามโดยละเอียดว่าเปปเปอร์เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นที่ไหนเลย
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คอนโดพราวฟ้า มิน่าล่ะเขาถึงไม่ยอมไปเยี่ยมเธอที่ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ที่แท้ก็ไปหามายมิ้นท์นี่เอง
ร่างกายของส้มเปรี้ยวสั่นเล็กน้อย
พิศมัยเห็นดังนั้น จึงรีบถามว่า “ส้มเปรี้ยว หนูเป็นอะไรไปหรือจ๊ะ?”
ส้มเปรี้ยวเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่เปียกชุ่มสีแดงก่ำคู่หนึ่ง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า “หนูไม่เป็นอะไรค่ะ หนูก็แค่……”
“แค่ได้ยินว่าเปปเปอร์อยู่ข้างมิ้นท์ก็ไม่มีความสุขแล้วสินะ” ท่านย่าเบ้ปากแล้วเบ้ปากอีก
ส้มเปรี้ยวถูกทำให้จุกจนพูดอะไรไม่ออกในทันที
พิศมัยตบลงไปที่ต้นขาด้วยความโมโหเดือดดาล แล้วด่าว่า “นังผู้หญิงชั้นต่ำนั่น!”
“ฉันคิดว่ามิ้นท์สาดน้ำใส่หล่อนนั้นน้อยไปหน่อยนะ” ท่านย่าเหลือบมองเธออย่างเย็นชา
พิศมัยพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่เอาแต่พูดช่วยคนนอกตลอดเลยล่ะคะ”
“ใครบอกว่ามิ้นท์เป็นคนนอก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่หลานสะใภ้ของฉัน แต่เธอก็ยังเป็นหลานสาวของฉัน และสนิทชิดใกล้กันมากกว่าพวกเธอทั้งสองคนเสียอีก” ท่านย่าพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ส้มเปรี้ยวลุกขึ้นมา แล้วพูดด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่า “คุณป้าคะ หนูขอตัวก่อนนะคะ ท่านย่าไม่ค่อยยินดีต้อนรับหนูสักเท่าไหร่”
ท่านย่าหัวเราะเยาะ และขี้เกียจที่จะพูดอะไรต่อ
พิศมัยก็ลุกขึ้นเช่นกัน แล้วพูดว่า “ส้มเปรี้ยว หนูจะไม่รอเปปเปอร์ฟื้นแล้วเหรอจ๊ะ?”
“เปปเปอร์ฟื้นแล้วหนูค่อยมาหาอีกทีก็ได้ค่ะ ถึงเวลานั้นรบกวนคุณป้าบอกให้หนูทราบด้วยนะคะ” พอพูดจบ ส้มเปรี้ยวก็มองไปที่ผู้ชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาและเดินจากไป
ถ้าเธอยังไม่ยอมไป เธอก็กลัวว่าตัวเองจะอดไม่ได้ที่จะบีบคอหญิงชราคนนี้ให้ตายตรงนั้น
หลังจากออกจากห้องผู้ป่วยแล้ว ส้มเปรี้ยวก็สูดหายใจเข้า แล้วสีหน้าที่อยู่บนใบหน้าก็เปลี่ยนไป ไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าใดใดเลยสักนิด มีเพียงความชั่วร้ายและโหดเหี้ยมที่ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกเท่านั้น
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดลงไปสองสามครั้ง แล้ววางแนบข้างหู “ฮัลโหลรันต์ ฉันอยากจะพบนาย!”
ในห้องใต้ดินที่มืดสลัว แว่นตาของการันต์สะท้อนแสงขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาโค้งริมฝีปากขึ้นแล้วตอบรับว่า “ตกลง งั้นเจอกันที่ห้องอาหารชั้นพิเศษเมื่อคราวก่อนนะ”
หลังจากที่จบการสนทนา เขาก็ถือโทรศัพท์มาข้างหน้าเขา เปิดหมายเลขหนึ่งขึ้นมาแล้วโทรออกไป
ณ เทนเดอร์กรุ๊ป
มายมิ้นท์กำลังพูดคุยกับราเม็ง
เธอเทกาแฟให้เขาหนึ่งถ้วย แล้วพูดว่า “วันนี้นายไม่มีงานเหรอ? วิ่งมาหาฉันถึงที่นี่ ไม่กลัวว่าผู้จัดการของนายจะตามหานายไปทั่วทุกที่หรือไง?”
“ผมเพิ่งจะสิ้นสุดการถ่ายรูปธารน้ำแข็งอันยาวนานเป็นเวลาสองเดือน ดังนั้นบริษัทก็เลยอนุญาตให้ผมลาพักร้อนได้หนึ่งสัปดาห์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ผมได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และปรับตัวเรื่องความต่างของเวลาสักหน่อย” ราเม็งดื่มกาแฟหนึ่งคำ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
มายมิ้นท์พยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“พี่ครับ พี่คงไม่ได้ขุ่นเคืองและรำคาญผม จนอยากจะไล่ผมไปใช่ไหมครับ?” ราเม็งมองเธอด้วยความน้อยใจ
มายมิ้นท์หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ นายเป็นน้องชายของฉันนะ พี่สาวที่ไหนจะรำคาญน้องชายได้ล่ะ”
ราเม็งรู้สึกมีความสุขอีกครั้ง แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ใช่รอยยิ้มที่ยิ้มออกมาจากใจ
น้องชายเหรอ?
แต่เขาโตขึ้นแล้วนะ
“จริงสิพี่ พี่ได้ดูข่าวของวันนี้แล้วหรือยัง?” ราเม็งถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มายมิ้นท์กำลังดูเอกสาร เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอก็เอียงศีรษะด้วยความสงสัย แล้วถามว่า “นายหมายถึง เรื่องที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ใช่ไหม?”