รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 231 พันธนาการ
“ประธานเปปเปอร์!” ผู้ช่วยเหมันตร์สีหน้าตึงเครียด รีบดึงส้มเปรี้ยวออกไป กดกริ่งฉุกเฉินที่หัวเตียง
เดิมทีแล้วส้มเปรี้ยวค่อนข้างหงุดหงิด แต่เมื่อได้ยินเสียงกริ่งในห้องผู้ป่วย เธอถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเปปเปอร์?” เธอรีบถาม
เปปเปอร์เจ็บจนแทบจะเป็นลมแล้ว
ผู้ช่วยเหมันตร์พยุงเขานอนลง หันไปมองส้มเปรี้ยวด้วยความโกรธ “คุณส้มเปรี้ยว บนตัวประธานเปปเปอร์มีแผล คุณไม่รู้เหรอ? กอดเขาแรงขนาดนี้ แผลเปิดหมดแล้ว!”
ผู้ช่วยเหมันตร์ชี้แผลบนหน้าอกเปปเปอร์ ชุดคนไข้โดนย้อมเป็นสีแดง
ทันใดนั้นเขาก็สงสัย คุณส้มเปรี้ยวคนนี้รักประธานเปปเปอร์จริงๆ หรือเปล่า?
การรักใครสักคน ควรยิ่งระมัดระวังกับการบาดเจ็บของอีกฝ่าย กลัวว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่เหรอ?
แต่คุณส้มเปรี้ยวคนนี้กลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
สีหน้าส้มเปรี้ยวกระวนกระวายขึ้นมา “ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ……”
เธอแค่ดีใจที่เปปเปอร์ฟื้นแล้ว เลยกอดด้วยความตื่นเต้น
ไม่ได้คิดเลยว่ากอดไปแล้วจะมีผลอย่างไร
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น? ทำไมกริ่งดังล่ะ?” ในขณะนี้ ท่านยาก็เดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยการประคองจากพิศมัยและป้าแดง
ผู้ช่วยเหมันตร์กำลังเช็ดเหงื่อให้เปปเปอร์ ได้ยินคำพูดนี้ก็รีบตอบ “แผลประธานเปปเปอร์เปิดแล้วครับ”
“เฮ้ย เลือดไหลออกมาแล้ว” พิศมัยอุทานด้วยความประหลาดใจ
ท่านย่าร้อนใจแล้ว “เหมันตร์ เปปเปอร์ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมแผลเปิดล่ะ?”
แววตาส้มเปรี้ยวฉายแววร้อนตัว รีบขยิบตาให้ผู้ช่วยเหมันตร์ หวังว่าผู้ช่วยเหมันตร์จะไม่แฉเธอ
แต่ผู้ช่วยเหมันตร์แสร้งทำเป็นไม่เห็น วางผ้าขนหนูลงแล้วเอ่ยปากตอบ “ก็คุณส้มเปรี้ยว เมื่อกี้เข้าไปโดนจนแผลประธานเปปเปอร์เปิดเลย”
“ว่าไงนะ?” ใบหน้าชราของท่านย่าสั่นระริก จากนั้นก็มองไปทางส้มเปรี้ยวด้วยแววตาเย็นยะเยือก “อ่า ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าเป็นเธอ”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ” ส้มเปรี้ยวกัดปาก ตอบกลับเสียงเบา แต่ในใจเกลียดผู้ช่วยเหมันตร์แทบตาย
ก็แค่หมาข้างกายเปปเปอร์ไม่ใช่เหรอ? ไม่คิดว่าจะกล้าไม่เชื่อฟังเธอและขัดใจเธอ
คอยดูเถอะ รอเธอกับเปปเปอร์แต่งงานกันก่อน เธอจะต้องไล่เขาออกเป็นคนแรก!
“เฮอะ ไม่ได้ตั้งใจอะไรกัน ฉันว่าเธอตั้งใจ ตั้งแต่เปปเปอร์คบกับผู้หญิงอย่างเธอ ชื่อเสียงก็เดือดร้อนเพราะเธอมามากแค่ไหน ตระกูลนวบดินทร์ของเราสูญเสียเพราะเธอไปมากแค่ไหน อย่าคิดว่าเปปเปอร์ช่วยเธอปิดบังแล้วฉันจะไม่รู้นะ ตามที่ฉันเห็น เธอมันตัวซวย มาเพื่อปราบเปปเปอร์โดยเฉพาะ!” ท่านย่าดวงตาแดงก่ำ ชี้ส้มเปรี้ยวและด่าอย่างไร้ความปรานี
ในเวลานี้ เธอเป็นแค่ท่านย่าธรรมดาที่เป็นห่วงหลานชาย ไม่ใช่ท่านหญิงในตระกูลร่ำรวยอันสูงส่ง
เธอจึงขี้เกียจรักษามารยาทผู้ดีเช่นกัน อะไรที่ควรด่าก็ด่า!
ส้มเปรี้ยวโดนท่านย่าด่าจนหน้าดำหน้าแดง ในใจเกลียดแทบตาย แต่ใบหน้ายังไม่กล้าเถียง ทำได้แค่มองไปทางพิศมัยด้วยความน้อยใจ หวังว่าพิศมัยจะช่วยเธอพูดสักสองประโยค
พิศมัยชอบว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่คนนี้มาตลอด ไม่ใช่แค่เพราะพื้นเพครอบครัวอีกฝ่ายอย่างเดียว แต่เพราะว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่คนนี้ประพฤติตัวเป็น คอยประคองเธอทุกครั้ง มอบของมีค่าให้เธอ เธอก็ยินยอมที่จะช่วยพูดสิ่งดีๆ สักสองสามประโยค
“แม่ แม่พูดแรงเกินไปแล้วนะ บางทีส้มเปรี้ยวอาจจะไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก็ได้?” พิศมัยยิ้มให้ท่านย่าขณะพูดขึ้น
ท่านย่าเหลือบมองเธออย่างเย็นยะเยือก “หล่อนทำให้แผลลูกชายเธอเปิด เธอไม่ตำหนิหล่อน แต่ยังช่วยหล่อนพูดอีกเหรอ ทำไม ในใจเธอเปปเปอร์เทียบคนนอกไม่ได้? ก็อย่างว่า ไม่ใช่แม่ที่คลอดเอง ความรักก็เลยเบาบางสินะ”
ว่าไงนะ?
เปปเปอร์ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของพิศมัยเหรอ?
ส้มเปรี้ยวเงยหน้ามองพิศมัยด้วยความประหลาดใจทันที แล้วมองไปที่ชายหนุ่มที่หลับตาสนิทบนเตียงผู้ป่วย ซึ่งไม่รู้ว่าสลบไปหรือยัง
ใช่แล้ว ใบหน้าพิศมัยและเปปเปอร์ไม่คล้ายกันสักนิด อีกอย่างคำพูดการกระทำและมารยาทของพิศมัยก็เหมือนผู้หญิงบ้านนอก ไม่เหมือนมาจากตระกูลผู้ดีสักนิด ไม่ใช่แม่ก็ดูมีเหตุผล
แม้แต่ผู้ช่วยเหมันตร์ที่อยู่ข้างๆ เมื่อรู้ความลับนี้ ก็ค่อนข้างประหลาดใจ
“แม่ แม่พูดอะไรน่ะ ถึงเปปเปอร์จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉัน แต่ฉันก็เห็นเขาเป็นลูกชายแท้ๆ จริงๆ นะ” พิศมัยตอบอย่างไม่พอใจ
ท่านย่าเหลือบมองเธอ ขี้เกียจสนใจเธอแล้ว
ไม่นานนัก คุณหมอก็มาถึง ฉีดยาแก้ปวดให้เปปเปอร์
หลังจากความเจ็บปวดลดลง สติของเปปเปอร์ก็ค่อยๆ กลับมา
เขาลืมตาขึ้น สีหน้าเขาดูซีดกว่าเดิม
ท่านย่าสงสารมาก ดึงมือเขาไว้ “เปปเปอร์ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เปปเปอร์ส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง “ไม่เป็นไรครับ คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอโทษนะคะเปปเปอร์ ฉันผิดเอง ขอโทษนะ……” ส้มเปรี้ยวยืนข้างเตียง เช็ดน้ำตาสะอื้นขณะพูดขึ้น
เปปเปอร์ปวดศีรษะเพราะเสียงร้องไห้ของเธอ และไม่มีอารมณ์ไปปลอบเธอ ยกแขนขึ้นนวดขมับ “พอแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว!”
ฟังเสียงหมดความอดทนของเขาออก ส้มเปรี้ยวหยุดร้องไห้ มองเขาด้วยความเจ็บปวด
อย่างที่คิดไว้ ตอนนี้เขามีภูมิคุ้มกันกับเสียงร้องไห้เธอในระดับหนึ่งแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เธอแค่ร้องไห้ เขาก็จะเห็นเธอสำคัญเป็นคนแรก ถึงแม้จะยุ่งแค่ไหนก็จะมาปลอบเธอ
เมื่อคิดแบบนี้ ในใจส้มเปรี้ยวก็เกิดความกระวนกระวาย อดไม่ได้ที่จะกัดเล็บมือ
“เอาล่ะ แผลผู้ป่วยทายาพันแผลใหม่แล้ว ต่อไปก็พักฟื้นให้ดี แต่ห้ามโดนชนอีก ไม่งั้นไม่ใช่แค่แผลที่จะเปิดออก กระดูกซี่โครงที่ยึดแน่นแล้วก็จะแตกด้วย” คุณหมอถอดถุงมือเปื้อนเลือดออก แล้วกำชับอย่างเข้มงวด
ท่านย่าพยักหน้าซ้ำๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันจะคอยเฝ้าดู จะไม่ให้ใครบางคนที่ไร้สมองมาทำร้ายหลานชายฉันอีก!”
เธอมองไปที่ส้มเปรี้ยวอย่างมีความหมาย
ส้มเปรี้ยวก้มศีรษะอย่างอับอาย ไม่กล้าพูดอะไร
หลังจากคุณหมอไปแล้ว ท่านย่าก็ยันไม้เท้า “ช่างเถอะ พวกเธอกลับไปก่อน ฉันมีอะไรอยากคุยกับเปปเปอร์”
“ฉันไม่ไปค่ะ ฉันอยากอยู่กับเปปเปอร์” ส้มเปรี้ยวดึงแขนเสื้อเปปเปอร์ไว้ รีบพูดขึ้น
ท่านย่ามีสีหน้าจมลง มองเธอด้วยแววตามืดมัว “คุณส้มเปรี้ยว เธอฟังไม่เข้าใจเหรอว่าคนที่ฉันไม่ต้อนรับมากที่สุด ก็คือเธอ?”
โดนบอกว่าไม่เป็นที่ต้อนรับต่อสาธารณะ ส้มเปรี้ยวก็กระอักกระอ่วนมาก
เธอมองเปปเปอร์ ริมฝีปากขยับ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
เปปเปอร์ดึงแขนเสื้อออกมา “ส้มเปรี้ยวคุณกลับไปก่อน”
“เปปเปอร์……” ส้มเปรี้ยวยังไม่ค่อยยินยอม
เปปเปอร์เม้มริมฝีปากบาง มองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง “กลับไป”
ส้มเปรี้ยวโดนเขามองจนสั่นไปทั้งร่าง เกิดความรู้สึกโดนเขามองอย่างทะลุปรุโปร่ง หลีกเลี่ยงสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วพยักหน้า “โอเค ฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่คราวหน้า”
พูดจบ เธอก็หยิบกระเป๋าเดินจากไป
พิศมัยและผู้ช่วยเหมันตร์ก็ตามออกไป
ภายในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงท่านย่า ป้าแดง และเปปเปอร์สามคน
ท่านย่านั่งลงด้วยการประคองของป้าแดง มองหลานชายตัวเองอย่างมีความหมายบางอย่าง “ทำไมย่าพบว่าคราวนี้หลานตื่นขึ้นมาแล้ว ท่าทีที่มีต่อส้มเปรี้ยวดูจางลงมาก ไม่ตามใจเธอทุกอย่างเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
เปปเปอร์เอาแขนข้างหนึ่งปิดตา “จู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีเพราะเมื่อก่อนผมตามใจเธอมากเกินไป ทำให้เธอยิ่งเอาแต่ใจขึ้นเรื่อยๆ”
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การฟื้นครั้งนี้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าในใจตัวเองเหมือนมีพันธนาการอะไรบางอย่างมันเปิดออก
เช่นเมื่อก่อนเห็นส้มเปรี้ยวร้องไห้ หรือส้มเปรี้ยวได้รับความน้อยใจ ในใจเขาจะมีเสียงร้องว่าเขาต้องไปปลอบเธอ เอาอกเอาใจเธอ แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็พบว่าเสียงนั้นมันเบาลงมาก เขากลายเป็นผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
“หลานคิดแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว” ท่านย่ายิ้มอย่างพอใจ “เปปเปอร์ ในที่สุดหลานก็กลับมาเป็นหลานคนเดิมบ้างแล้ว”
“ผมคนเดิมเหรอ” เปปเปอร์มองเธออย่างตะลึง ไม่เข้าใจความหมายคำพูดนี้ของเธอ