รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 248 หาจดหมายไม่เจอ
ที่แท้ยังหาตัวชวนชมไม่เจอ ดีจริงๆ
แต่ว่าการที่ยังหาตัวเธอไม่เจอ กลับเตรียมห้องเอาไว้อย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าคุณแม่รอคอยชวนชมมากขนาดไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป วันไหนที่ชวนชมกลับมา แม่คงจะหันไปรักแล้วใส่ใจแต่ชวนชมแน่ๆ
มือทั้งสองข้างที่วางไว้ตรงเข่าของส้มเปรี้ยวกุมแน่น เธอก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใครมองออกถึงท่าทางเธอตอนนี้
ผ่านไปสักพักเธอก็เงยหน้าขึ้น ทำท่าทางเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “แม่คะ หนูสมมุตินะคะ สมมุติว่าพี่เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวยากจน นิสัยของเธอขี้ขลาดขี้กลัว ทำอะไรก็ไม่เป็น ถ้าออกไปในสังคมคงทำให้คุณแม่ต้องอับอายขายหน้า คุณแม่ยังจะรอคอยเธอแบบนี้ไหม?”
“ส้มเปรี้ยว ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ล่ะ?” สีหน้าอันอ่อนโยนของคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ดูลดลงไปเล็กน้อย เธอมองไปทางส้มเปรี้ยวอย่างประหลาดใจ
ส้มเปรี้ยวยื่นแขนเข้าไปโอบแขนแม่ของเธอ “หนูก็แค่สงสัยนี่คะ ในละครโทรทัศน์ก็เห็นอยู่บ่อยๆ บรรดาลูกเศรษฐีที่พัดพรากจากกันไปตั้งแต่เล็กๆ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งกับพ่อแม่แท้ๆ ก็ไม่ค่อยจะชอบเธอ เพราะว่าทำอะไรก็ไม่เป็น ทำแต่เรื่องอับอายขายหน้า หนูก็เลยกังวลว่าพ่อแม่จะทำแบบนั้นกับพี่หรือเปล่า”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ลบล้างความสงสัยในใจเมื่อครู่ไป ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของส้มเปรี้ยวเบาๆ แล้วตอบว่า “ละครก็คือละคร ไม่เหมือนกับชีวิตจริงหรอกนะ”
“หมายความว่าแม่จะไม่ทำแบบนั้นกับพี่ใช่ไหมค่ะ?” ส้มเปรี้ยวหรี่ตาลง แววตาของเธอแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์พยักหน้า “แม่จะไม่ทำแน่นอน พี่สาวของเราแม่ตั้งท้องมาตั้งสิบเดือน และเป็นลูกคนที่พอตั้งตารอคอยมาก ลูกไม่รู้หรอกว่าพ่อนะ……เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า เอาเป็นว่าลูกวางใจเถอะนะ ทั้งพ่อและแม่จะไม่ทำอะไรพี่สาวเราอย่างแน่นอน ต่อให้พี่ของเราเป็นแบบที่พูดมา พ่อกับแม่ก็คงจะยิ่งรักเธอมากกว่าเดิม และชดใช้ให้กับเธอ จะไปรังเกียจเหยียดหยามเธอได้ยังไง”
“ดีจังเลยค่ะ” ส้มเปรี้ยวยิ้มขึ้นทำท่าทางเหมือนดีอกดีใจ
แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่า ในใจบัดนี้สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างยิ่ง
เธอตั้งใจ ที่จะสร้างเรื่องของชวนชมขึ้นมา เพื่อต้องการจะรู้ว่าแม่มีท่าทีอย่างไรต่อชวนชม คิดไม่ถึงว่าต่อให้เป็นแบบนั้น แต่แม่ก็ยังรอคอยจะให้เธอกลับมา อีกทั้งยังพูดอย่างมั่นใจว่าพ่อกับแม่จะชดเชยให้หล่อนอย่างแน่นอน
เป็นจริงดั่งที่คิดเอาไว้ นอกจากมายมิ้นท์แล้ว ชวนชมเป็นตัวสกัดกั้นในชีวิตของเธอคนที่สอง!
แสงแห่งความมืดมนทำลายทุกสิ่งอย่างในดวงตาของส้มเปรี้ยว มันเผยความรู้สึกนั้นออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
……
ณ คฤหาสน์ตระกูลนวบดินทร์
คนขับรถพยุงเปปเปอร์ลงจากรถ
ท่านย่าได้ยินเสียงรถดังขึ้นจากด้านนอก จึงได้เดินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
เนื่องจากเป็นกังวลหลานชาย หลายวันมานี้เธอไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ของตนเอง แต่พักอาศัยอยู่ที่นี่
“เปปเปอร์ ทำไมถึงกลับดึกขนาดนี้?” ท่านย่าเดินเข้ามาถาม
เปปเปอร์รับไม้ค้ำที่คนขับรถส่งมาให้ก่อนจะตอบว่า “พอดีรถติดครับคุณย่า เราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะครับ”
เขาไม่ได้ตั้งใจจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหารบอกเล่าให้แก่หญิงชราฟัง ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้เธอต้องตกอกตกใจ
“เอาล่ะ เข้าไปข้างในก็ได้” ท่านย่าพยักหน้า
เธอกับหลานชายอายุห่างกันหลายชั่วรุ่น แต่บัดนี้เขากลับต้องใช้ไม้ค้ำพยุง
ภาพที่ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน มองไปแล้วช่างน่าขำเหลือเกิน
“อ้าวเปปเปอร์ กลับมาแล้วเหรอ” พิศมัยเดินถือถาดผลไม้ออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นสองย่าหลานเดินตรงเข้ามาพร้อมกันก็ได้เอ่ยปากทักทาย
เปปเปอร์พยักหน้า “ครับแม่”
“นั่งลงก่อนสิ” พิศมัยวางถาดผลไม้ลงแล้วเข้าไปพยุงเขา
แต่กลับถูกเปปเปอร์ปฏิเสธว่า “ผมเดินเองได้ครับ”
ตอนนี้ขาของเขาเพียงแค่ไม่สะดวกที่จะเดิน ไม่ได้เป็นอัมพาตสักหน่อย
เปปเปอร์วางไม้ค้ำไว้ด้านข้างแล้วพยุงตัวเองไปที่โซฟานั่งลง
พิศมัยวางถาดผลไม้ตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะเอ่ยถามว่า “เปปเปอร์ ลูกคืนดีกับส้มเปรี้ยวแล้วเหรอ?”
คืนดีเหรอ?
เปปเปอร์ก้มหน้าลงไม่ได้พูดอะไร
เขาจะไปคืนดีกับส้มเปรี้ยวได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงความคิดความรู้สึกของตนเองที่ต้องถูกพลังอันลึกลับบังคับเพราะเธอ เขาก็อยากจะฆ่าเธอไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถ้าหากว่าส้มเปรี้ยวคือต้นไผ่ เช่นนั้นก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ไม่ว่าจะถูกบังคับหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาทำให้เธอทุกอย่างเขาก็ยอมรับมันเพราะว่าเขานั้นรักต้นไผ่
แต่ถ้าส้มเปรี้ยวไม่ใช่ต้นไผ่ละ? แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เปปเปอร์ก็หยิบไม้ค้ำขึ้นมาพูดว่า “คุณย่าครับ คุณแม่ครับ ผมรู้สึกเหนื่อยจังเลย ขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
เขาต้องการจะกลับไปที่ห้องเพื่อให้ทำความแน่ใจว่าส้มเปรี้ยวคือต้นไผ่หรือเปล่า
แม้ว่าในใจของเขาดูจะมีคำตอบอยู่แล้วก็ตาม
เมื่อพูดจบเขาก็เดินไปที่บันได
พิสมัยมองไปยังผลไม้ที่เขาไม่ได้แม้แต่จะแตะต้อง จากนั้นมองไปทางแผ่นหลังของเปปเปอร์ที่เดินจากไป ก่อนจะพึมพำว่า “อะไรกันยังไม่ตอบคำถามแม่เลย”
ท่านย่าเหล่มองเธอและเดินกลับห้องไปเช่นกัน
ในเมื่อหลานชายจากไปแล้ว จะให้นั่งอยู่กับสะใภ้คนนี้เพียงลำพัง เธอกลัวว่าโชคร้ายจะติดตัว
หากว่าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ทำตัวดีต่อเปปเปอร์กับปีโป้ เธอคงจะขับไล่ลูกสะใภ้คนนี้ออกไปจากตระกูลตั้งนานแล้ว
ภายในห้องส่วนตัว เปปเปอร์เปิดลิ้นชักออกเพื่อนำจดหมายที่ต้นไผ่เขียนให้เขาออกมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากในตอนนี้ก็คือ ในลิ้นชักว่างเปล่าไม่มีจดหมายแม้แต่ฉบับเดียว!
วินาทีนี้ เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจโดนคว้านออกมาจนไม่เหลืออะไรเลย แต่ความรู้สึกต่อมาที่มีก็คือความโมโห
“ใครแตะต้องลิ้นชักของผม ใครเอาจดหมายของผมไป?” เขาเดินตรงมาที่ชั้นล่างแล้วเรียกคนรับใช้ทุกคนออกมาตะโกนถามอย่างดุเดือด
คนรับใช้เหล่านั้นมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหัว เป็นความหมายว่าไม่มีใครแต่ต้องลิ้นชักของเขาเลย
เมื่อเปปเปอร์เห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าทุกคนไม่ยอมรับผิด สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม “ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าในห้องของผมไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป และไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องของในนั้นทั้งสิ้น ฟังไม่เข้าใจกันหรือไง?”
“คุณชายใหญ่ พวกเราไม่ได้แตะต้องลิ้นชักของคุณจริงๆ” บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ทำงานมาเนิ่นนานหลายปีอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นแล้วก้าวออกมา
คนรับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นก็พากันพยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณชายใหญ่ พวกเราไม่ได้แตะต้องมันจริงๆ”
เปปเปอร์หรี่ตามองพวกเขา เพื่อต้องการจะดูว่ามีใครโกหกหรือเปล่า
แต่หลังจากที่เขามองครบทุกคนแล้วก็พบว่าไม่มีใครโกหกเลย สีหน้าท่าทางและแววตาของทุกคนดูจริงจัง ไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
เปปเปอร์จึงได้นิ่งเงียบไป
ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่ได้แตะต้องมัน
แล้วจดหมายในลิ้นชักของเขาจะหายไปได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเอง พิสมัยก็เดินออกมาจากชั้นสองทำท่าทางหาว ถามว่า “เปปเปอร์ทำอะไรอยู่นะ?”
“คุณนายคะ จดหมายของคุณชายใหญ่หายไป ตอนนี้กำลังโมโหใหญ่เลยค่ะ” บ่าวรับใช้ที่พูดออกมาเป็นคนแรกตอบกลับ
พิศมัยหันไปมองเปปเปอร์ “เปปเปอร์จดหมายอะไรกัน?”
“จดหมายระหว่างผมกับต้นไผ่” เปปเปอร์ตอบกลับ
คนในตระกูลนวบดินทร์ทุกคนรู้เรื่องที่เขาเขียนจดหมายติดต่อกับต้นไผ่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“อ้อ จดหมายของลูกกับส้มเปรี้ยวน่ะเหรอ จดหมายพวกนั้นถูกส้มเปรี้ยวเผาไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?” พิสมัยหาวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เผยให้เห็นฟันสีเหลืองของเธอ
สีหน้าของเปปเปอร์เปลี่ยนไปเป็นไม่น่ามองทันที น้ำเสียงดูเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม “ส้มเปรี้ยวเผาไปแล้วเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ลูกเป็นคนตกลงเองไม่ใช่เหรอ ลืมแล้วหรือไง?” พิศมัยมองไปที่เขาอย่างงุนงง
เปปเปอร์ชะงักลงทันที
เขาตกลงอย่างงั้นเหรอ?
เขาจะไปตอบตกลงให้ส้มเปรี้ยวเผาจดหมายเหล่านั้นได้ยังไง? นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เก็บรักษามันไว้ถึงสิบกว่าปี
แต่ทันใดนั้น ความทรงจำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของเปปเปอร์
เมื่อประมาณสามเดือนก่อน ตอนที่ส้มเปรี้ยวเพิ่งตื่นขึ้นได้ไม่นาน เธอได้พูดกับเขาว่า ในเมื่อตอนนี้เธอฟื้นขึ้นมาแล้วและอยู่ข้างกายของเขา จดหมายเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บเอาไว้แล้ว เผามันทิ้งไปเถอะ เขาจึงตอบตกลง
เขาตอบตกลงจริงๆ ด้วย!
เปปเปอร์กำไม้พยุงเอาไว้อย่างเหลือเชื่อ
เขาตอบตกลงได้ยังไง? เขาไม่ควรจะตอบตกลงถึงจะถูก
เป็นเพราะพลังอันลึกลับนั้นหรือ?
เปปเปอร์ใช้แรงกุมไปที่ไม้ค้ำมากกว่าเดิม หลังมือของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน
ใช่แล้ว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น สมองของเขาไม่ได้ชัดเจนเหมือนตอนนี้ ตัวของเขาในตอนนั้นไม่ว่าส้มเปรี้ยวจะพูดอะไรเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติไปและไม่เคยคิดจะปฏิเสธต่อต้าน ไม่เคยมีอาการเจ็บปวดหัวใจแบบนี้มาก่อน
ดังนั้นในตอนนี้ที่เขารู้เรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้ง คิดว่าการที่เขาตอบตกลงเพื่อที่จะเผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งไป คงเป็นเพราะเขาถูกพลังอันลึกล้ำนั้นบังคับให้ตอบรับ แต่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจริงของเขาเลย