รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 258 คิดไปเอง
คิดถึงตรงนี้ ในขณะที่ผู้ช่วยเหมันตร์รู้สึกผิดหวัง ก็มองเปปเปอร์ด้วยความรู้สึกเห็นใจไปด้วย
สายตาของทามทอยหยุดอยู่บนตัวเปปเปอร์ ที่ก้มหน้าหมดสติอยู่ เลิกคิ้วขึ้นมา “โย่ เปปเปอร์เป็นอะไรไปเนี่ย?”
“ประธานเปปเปอร์เขาเป็นไข้ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไป
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากแล้วพูดเรียบๆว่า: “เป็นไข้ก็รีบส่งตัวไปโรงพยาบาล”
พูดจบ เธอมองไปทางทามทอย “เข้ามาก่อนเถอะ”
“ครับผม!” ทามทอยเดินเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้มที่สดใสเต็มใบหน้า มายมิ้นท์ไม่แม้แต่จะมองผู้ช่วยเหมันตร์กับเปปเปอร์เลยสักนิด ปิดประตูไปเลยโดยตรง
ผู้ช่วยเหมันตร์มองดูประตูห้องที่ปิดแน่นหนา ท้ายที่สุดก็ได้แต่ส่ายหน้า ลากเปปเปอร์ออกไปอย่างจนใจ
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเป็นห่วงแทนเปปเปอร์ ที่มายมิ้นท์กับทามทอยอยู่ด้วยกันตามลำพัง
แต่ถึงจะเป็นห่วง ก็เทียบไม่ได้กับร่างกายของประธานเปปเปอร์ ส่งประธานเปปเปอร์ไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า รอให้ประธานเปปเปอร์หายดีแล้ว ค่อยให้ประธานเปปเปอร์ไปรบกับพวกเขาเองแล้วกัน
ในคอนโด มายมิ้นท์รับช่อดอกไม้ที่ทามทอยยื่นให้ จากนั้นก็หาแจกันดอกไม้ออกมา หลังจากตัดแต่งดอกไม้ทีละดอกแล้ว ก็ใส่มันลงในแจกัน
“เปปเปอร์มาหาคุณทำไมกัน?” ทามทอยนั่งอยู่บนโซฟา มือสองข้างยันอยู่บนท้ายทอย แกล้งทำเป็นถามด้วยอยากรู้อยากเห็น
มายมิ้นท์ฟังไม่ออกถึงการหยั่งเชิงในน้ำเสียงของเขา เบ้ปากแล้วตอบว่า: “เป็นบ้าไง จู่ๆก็มาบอกอะไรกับฉันไม่รู้ บอกว่าเขารักฉัน คุณว่ามันน่าขำหรือเปล่าล่ะ”
“อะไรนะ? เขาบอกกับคุณว่าเขารักคุณ?” เหนือความคาดหมาย ทามทอยไม่ได้รู้สึกขำเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกประหลาดใจและจริงจังขึ้นมา
มายมิ้นตัดแต่งดอกไม้อย่างจริงจัง ไม่ได้สังเกตสีหน้าการแสดงออกของเขา พยักหน้ารับ “ใช่ แต่ว่าฉันรู้สึกว่าเขาต้องการจะแกล้งฉัน ดังนั้นฉันเลยไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริง”
“เหอะๆ อย่างนี้นี่เอง!” ทามทอยกระตุกมุมปาก หัวเราะอย่างขอไปที แววตากลับจริงจังมาก
เขากลับไม่คิดว่าเปปเปอร์กำลังแกล้งมายมิ้นท์อยู่ วิธีการของเปปเปอร์ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แบบนั้นก็พูดได้แค่ว่า เปปเปอร์จริงจังจริงๆ
เปปเปอร์……ในที่สุดก็รู้ตัวสักทีว่าคนที่ตัวเองรักจริงๆคือใคร!
“ใช่แล้ว ยังไม่ได้ถามเลยว่าจู่ๆทำไมคุณถึงมาได้ล่ะ” มายมิ้นท์เอาแจกันดอกไม้ที่ใส่ดอกไม้จนเต็มแล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชา นั่งตรงข้ามทามทอยแล้วถาม ขัดจังหวะความคิดของทามทอย
สีตาเปปเปอร์เป็นประกายขึ้นมา ระงับความรู้สึกวิกฤตในใจเอาไว้ ทำตัวเป็นคนที่เจอกันก็เป็นกันเองทันทีหยิบแอปเปิ้ลที่อยู่ในจานออกมาแล้วกัดไปหนึ่งคำ “ผมมาหาคุณจะมาคุยเกี่ยวกับเรื่องชวนชมตัวปลอม ผมกะว่าพรุ่งนี้จะหาโอกาส ให้เธอไปปรากฏตัวต่อหน้าผัวเมียตระกูลภักดีพิสุทธิ์”
“คุณตัดสินใจแล้วเหรอ?” สีหน้ามายมิ้นท์จริงจังขึ้นมา
ทามทอยพยักหน้า “ถูกต้อง ชวนชมตัวปลอมก็รับปากแล้วด้วย”
“งั้นดีเลย ต้องการให้ฉันทำอะไรไหม?” มายมิ้นท์ถาม
ทามทอยลูบท้องไปมา ทำท่าทางน่าสงสาร “ทำอาหารได้ไหม? ผมมาตอนท้องว่างนะ คุณคงไม่ปล่อยให้ผมที่เป็นแขกคนนี้ไม่ได้กินแม้แต่ข้าวหรอกนะ?”
มายมิ้นท์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ดูท่าเรื่องที่ชวนชมตัวปลอมจะกลับไปตระกูลภักดีพิสุทธิ์ คงไม่ต้องการให้ฉันช่วยแล้ว ก็ได้ คุณนั่งรอครู่หนึ่งก่อน ฉันจะไปทำอาหาร”
เธอลุกยืนขึ้นมา เดินไปทางห้องครัว
โรงพยาบาล พยาบาลกำลังฉีดยาลดไข้ให้เปปเปอร์
ผู้ช่วยเหมันตร์ยืนอยู่ด้านข้างถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้านายผมไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร ก็แค่ไปตากฝนมา แผลเลยอักเสบจนทำให้ไข้ขึ้น ตอนนี้ทำแผลใหม่ให้แล้ว รอให้ไข้ลดก็หายดีแล้ว”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดีแล้ว” ผู้ช่วยเหมันต์ตบหน้าอกเบาๆ
พยาบาลทิ้งเข็มฉีดยาไป แล้วก็แขวนน้ำเกลือให้เปปเปอร์ ขอตัวลาออกไป
ผู้ช่วยเหมันตร์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมจะโทรไปคฤหาสน์ตระกูลนวบดินทร์ แจ้งให้พวกท่านย่าเกี่ยวกับอาการของเปปเปอร์
แต่แล้วโทรศัพท์ยังไม่ทันได้โทรออกไป เปปเปอร์ก็ตื่นแล้ว
“ประธานเปปเปอร์” ผู้ช่วยเหมันตร์วางโทรศัพท์มือถือลง พยุงเปปเปอร์ลุกขึ้นมา
เปปเปอร์นั่งพิงอยู่บนหัวเตียง อาการหน้าแดงบนใบหน้าลดลงไปแล้ว แทนที่ด้วยใบหน้าซีดเซียวจากอาการอ่อนเพลีย
เขามองดูสภาพแวดล้อมของห้องพักผู้ป่วย แล้วมองดูมือที่ให้น้ำเกลืออยู่ ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันเป็นอะไรไป?”
“บาดแผลคุณอักเสบ เลยทำให้คุณเป็นไข้” ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบคำถาม
เปปเปอร์หลับตาลง “ใครเป็นคนส่งฉันมาโรงพยาบาล?”
มายมิ้นท์เหรอ?
“ผมเองครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบ ดับความหวังที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจของเปปเปอร์ทันที
เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาเล็กน้อย
ผู้ช่วยเหมันตร์รู้สึกมึนงง
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเขารู้สึกว่าประธานเปปเปอร์ไม่ชอบใจที่เขาเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง?
คิดไปเองใช่ไหม?
ผู้ช่วยเหมันตร์กระแอมเบาๆ “ประธานเปปเปอร์ ตอนที่คุณเป็นไข้แล้วสลบไป คุณมายมิ้นท์เป็นคนเรียกผมให้ส่งคุณมาโรงพยาบาล”
ในดวงตาส่วนลึกของเปเปอร์มีแสงสว่างประกายขึ้นมา
ไม่ใช่มายมิ้นท์ส่งเขามา
แต่มายมิ้นท์กลับเป็นคนเรียกเหมันตร์ส่งเขามา
ช่วงขณะหนึ่ง ในใจเปปเปอร์ก็สบายใจขึ้นมาบ้างไม่น้อย สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก แม้แต่ไอเย็นรอบตัว ก็บางเบาลงไปไม่น้อย
แต่ในเวลานี้ ผู้ช่วยเหมันตร์กลับถามขึ้นมากะทันหันว่า “ประธานเปปเปอร์ คุณมายมิ้นท์ยกโทษให้คุณหรือยัง?”
น่าจะยังไม่ยกโทษให้มั้ง เพราะถ้าคุณมายมิ้นท์ยกโทษให้ประธานเปปเปอร์แล้ว ประธานเปปเปอร์เป็นไข้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะยังปล่อยให้ประธานเปปเปอร์นอนอยู่บนพื้นอย่างนั้น
แต่ว่าเพื่อเป็นการยืนยันให้แน่ใจ ถามประธานเปปเปอร์เองจะดีกว่า
เปปเปอร์นวดขมับ ยังรู้สึกวิงเวียนที่หัวเล็กน้อย “ยังไม่ทันได้พูดก็หมดสติไปแล้ว”
“……” ผู้ช่วยเหมันตร์กระตุกมุมปากเล็กน้อย
ไม่เอาไหนจริงๆ!
ในใจคิดแบบนี้ แต่เขาไม่กล้าพูดแบบนี้ กระแอมอยู่ในลำคอ “ถ้าอย่างนั้นรอให้ไข้คุณลดแล้วค่อยว่ากันใหม่”
“นักสะกดจิตที่ให้นายไปหา หาหรือยัง?” เปปเปอร์หรี่ตามอง
“ผมติดต่อไปคนหนึ่งแล้ว แต่ว่าเขาไม่มีเวลามา ดังนั้นกำลังเตรียมหาคนอื่นอยู่” ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบ
เปปเปอร์กัดฟันกรามแน่น “ถ้าอย่างนั้นก็รีบติดต่อให้เร็วที่สุด ตอนนี้ไปเชิญคุณหมอตฤณเข้ามาก่อน”
ถึงแม้ว่าคุณหมอตฤณจะมองไม่เห็นปัญหาในตัวเขา แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขายังมีคำถามบางอย่างจะปรึกษาอีกฝ่าย
“ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้ารับ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือ ติดต่อคุณหมอตฤณ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป คุณหมอตฤณก็มาถึงห้องผู้ป่วย “ประธานเปปเปอร์”
“คุณหมอตฤณเชิญนั่งก่อน” เปปเปอร์ชี้ไปที่เก้าอี้ในห้องพักผู้ป่วย
คุณหมอตฤณพูดขอบคุณ ดึงเก้าอี้มานั่ง “ประธานเปปเปอร์เชิญผมมาครั้งนี้ ยังเกี่ยวกับปัญหาเมื่อคราวก่อนหน้านั้นใช่ไหม?”
“ใช่ ครั้งที่แล้วคุณแนะนำให้ผมไปพบจิตแพทย์เพิ่ม วินิจฉัยว่าตกลงผมถูกสะกดจิตหรือเปล่า สรุปการวินิจฉัยของพวกเขาเหมือนกับของคุณ ผมไม่ได้ถูกสะกดจิต แต่ในความเป็นจริง ผมถูกสะกดจิตจริงๆ” เปปเปอร์พูดขณะมองไปที่คุณหมอตฤณ
คุณหมอตฤณดันแว่นด้วยความประหลาดใจ “ประธานเปปเปอร์คุณแน่ใจขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ผมเจอคนที่สะกดจิตผมคนนั้นแล้ว” เปปเปอร์กัดฟันพูดคำนี้ออกมา ในทุกคำพูด สอดแทรกไปด้วยความโกรธและความคิดที่อยากจะฆ่าไม่สิ้นสุด
คุณหมอตฤณสนใจขึ้นมา “เป็นใคร?”
การสะกดจิต เป็นความมหัศจรรย์มากอย่างหนึ่ง และอันตรายมากเช่นกัน มันไม่เพียงสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของคนเท่านั้น มันยังสามารถลบและเปลี่ยนความทรงจำของคนได้อีกด้วย
และนักสะกดจิตที่เก่งมากๆบางคน ทำได้กระทั่งเปลี่ยนคนคนหนึ่ง ให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้อย่างสมบูรณ์
พูดได้ว่า นักสะกดจิตที่ทำได้ถึงขั้นนี้ ไม่ต่างอะไรกับเทพเลย
เพราะฉะนั้นในบางประเทศ การสะกดจิตถือเป็นเทคนิคต้องห้ามมาตลอด
ตอนนี้เขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่า นักสะกดจิตที่ทำให้จิตแพทย์อย่างพวกเขาไม่สามารถวินิจฉัยถึงการถูกสะกดจิตได้ บางทีก็คือนักสะกดจิตแบบที่อยู่ถึงขั้นที่ไม่ต่างอะไรกับเทพ
เพราะมีแค่ระดับนี้เท่านั้น ถึงทำให้พวกเขาวินิจฉัยไม่ได้ แต่ในโลกนี้มีนักสะกดจิตระดับนี้อยู่น้อยมาก และอายุก็มากแล้วด้วย ทั้งยังมีการลงนามจะไม่ลงมืออีก ดังนั้นตอนนี้เขาอยากรู้มาก ตกลงเป็นนักสะกดจิตท่านไหนกันแน่ที่ผิดสัญญาลงนาม
“ไม่รู้ ลูกน้องผมกำลังตรวจสอบอยู่ สิ่งเดียวที่รู้ตอนนี้ ก็คือเขายังหนุ่มมาก เป็นผู้ชายที่หน้าตา……หล่อเหลามาก” เปปเปอร์ขมวดคิ้วบรรยายรูปลักษณ์ภายนอกของชายคนนั้น
พูดตามความจริง ผู้ชายคนหนึ่งชมผู้ชายอีกคนว่าหล่อเหลา มากน้อยก็มีความรู้สึกละเอียดอ่อนบางอย่าง
“อายุน้อย?” ทั้งคนของคุณหมอตฤณตกตะลึงไป “นี้มันเป็นไปได้อย่างไร?”