รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 269 รูทเมทมหาวิทยาลัย
ด้านนอกประตู ผู้ช่วยเหมันตร์ยังล็อกตัวลาเต้เอาไว้แน่น กลัวว่าลาเต้จะดิ้นหลุดแล้ววิ่งเข้าไปก่อกวนข้างใน
และลาเต้เพียงแต่เงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน ทำท่าทางชีวิตไร้ความหมาย
เวลานี้ ประตูเปิดออก
ลาเต้สั่นขึ้นมาหนึ่งครั้งกะทันหันจากนั้นก็ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาใหม่แล้วมองไปที่ประตู คิดว่าเป็นมายมิ้นท์ แต่แล้วกลับเห็นเปปเปอร์แทน สีหน้าบูดบึ้งในทันที ใช้แรงดิ้นรนและคำรามออกมาว่า: “คนตระกูลนวบดินทร์ รีบบอกให้คนของแกปล่อยฉัน!”
เปปเปอร์เหลือบตามองเขาอย่างเรียบเฉยครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางผู้ช่วยเหมันตร์ “ปล่อยเขา”
ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบรับคำหนึ่ง แล้วก็ปล่อยลาเต้ไป
ทันทีที่ลาเต้ได้รับอิสรภาพ ก็ขวางอยู่ตรงหน้าเปปเปอร์ “แกอยู่ข้างในนานขนาดนั้น พูดอะไรกับยาหยีกันแน่?”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” พูดคำนี้จบ เปปเปอร์ก็เดินตรงไปทางลิฟต์เลย
ผู้ช่วยเหมันตร์เห็นดังนั้นก็รีบตามไป
ลาเต้มองดูพวกเขาจากไปด้วยแววตาเคร่งขรึม จนกระทั่งหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในลิฟต์แล้ว ถึงสะบัดแขนที่ถูกข่วนจนเจ็บ ผลักประตูห้องทำงานของมายมิ้นท์แล้วเดินเข้าไป
“ยาหยี ไอ้หมอนั่นของตระกูลนวบดินทร์ไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?” ลาเต้เดินสามก้าวให้เป็นสองก้าวเดินไปถึงตรงข้ามโต๊ะทำงานของมายมิ้นท์ สอบถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
มายมิ้นท์นั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาทั้งคู่ไร้ชีวิตชีวา กำลังเหม่อลอยอยู่
ลาเต้ยื่นมือออกมา โน้มตัวไปโบกมือต่อหน้าเธอ “ยาหยี?”
“อ๋า?” สายตามายมิ้นท์ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ตอบสนองกลับมา “มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อกี้ผมถามคุณว่าเปปเปอร์ได้ทำอะไรคุณไหม ทำไหมคุณถึงเหม่อลอยขึ้นมาได้ล่ะ?” ลาเต้มองดูเธอด้วยความสงสัย
มายมิ้นท์มองต่ำลงไป ปิดบังความซับซ้อนในแววตาเอาไว้ “ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย วางใจเถอะ เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก”
“แล้วเขาพูดอะไรกับคุณ?” ลาเต้ลูบคางแล้วถาม
สัญชาตญาณของผู้ชายบอกเขา การเหม่อลอยของเธอ มีความเกี่ยวข้องกับเปปเปอร์
มายมิ้นท์นวดขมับ “เรื่องที่ไม่มีความสำคัญอะไรนักหรอก”
“แต่ว่าผมดูท่าทางของคุณ ดูเหมือน……”
“เต้ อย่าถามอีกเลยได้ไหม? ฉันอยากอยู่เงียบๆคนเดียว”มายมิ้นท์เงยหน้า พูดด้วยสายตาจริงจัง
สิ่งที่เปปเปอร์เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เธอยังสงบลงมาไม่หมดเลย
เธอต้องการปรับสภาวะจิตใจสักหน่อย
ลาเต้มองมายมิ้นท์ สุดท้ายก็ยักไหล่ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปก่อน มีเรื่องอะไรก็โทรหาผมได้เลย”
“อืม” มายมิ้นท์พยักหน้า
ลาเต้เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามครั้งเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
มายมิ้นท์เอามือกุมขมับเอาไว้ อารมณ์จมดิ่งอย่างมาก
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเข้ากลุ่มเพื่อนมหาลัยที่ไม่ได้โผล่เข้ามาทักทายนานมากแล้ว หาคนที่ใช้ชื่อเล่น ‘ลี่ลี่เฟรชลี่’ กดส่งข้อความเสียงออกไป
ไม่ช้า ข้อความเสียงก็ถูกฟัง เสียงหญิงสาวที่เปิดเผยตรงไปตรงมาแต่กลับแฝงด้วยความประหลาดใจดังขึ้นมา “มายมิ้นท์ นึกไม่ถึงว่าเธอจะทักหาฉันได้ !”
“ใช่ ฉันก็นึกไม่ถึง ว่าฉันจะหาเธอ มิลลี่!” มายมิ้นท์ตอบพร้อมกับเกี่ยวมุมปากเย็นชาขึ้นเป็นมุมเรเดียนเล็กน้อย
มิลลี่คนนี้ เป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัย และก็เป็นรูมเมทด้วย ถึงแม้ความสัมพันธ์จะไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่ก็ค่อนข้างดีอยู่พอสมควร
ตอนนั้นมีสี่คนที่อยู่ด้วยกันในหอพัก เธอ ส้มเปรี้ยว มิลลี่ และรูมเมทอีกคนหนึ่ง เพราะส้มเปรี้ยวมีนิสัยเย่อหยิ่ง ดูถูกพวกเธอสามคน พวกเธอสามคนก็ไม่ชอบส้มเปรี้ยวเช่นกัน เพราะพวกเธอสามคนกับส้มเปรี้ยวคือแม่น้ำหวงเหอกับแม่น้ำแยงซีไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง แทบไม่มีการพูดคุยกันเลย และมิลลี่กับรูมเมทอีกคนก็บ่นเกี่ยวกับส้มเปรี้ยว พูดเรื่องไม่ดีของส้มเปรี้ยวลับหลังอยู่ไม่น้อย
แต่นึกไม่ถึงว่า คนที่เกลียดส้มเปรี้ยวขนาดนี้คนหนึ่ง จะช่วยส้มเปรี้ยวหลอกเธอได้!
มิลลี่ฟังน้ำเสียงที่ผิดปกติของมายมิ้นท์ไม่ออก เธอยิ้มขึ้นมา “หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เธอก็ขาดการติดต่อกับเพื่อนเก่าอย่างพวกฉันไปเลย เมื่อกี้เห็นข้อความเสียงที่เธอส่งมา ฉันยังนึกว่าตัวเองตาลายอยู่เลย”
มายมิ้นท์เฮอะออกมาอย่างเยาะเย้ยคำหนึ่ง “ใช่ ตาเธอมันตาลายมากแล้วจริงๆ ข้อความที่ไม่เคยมี ยังถูกเธอปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาบอกว่าเห็นมันได้!”
ได้ยินคำพูดนี้ ผู้หญิงที่กำลังให้นมลูกอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์ รอยยิ้มบนใบหน้าเจื่อนลงไปในทันที “มายมิ้นท์ เธอ……เธอกำลังพูดอะไรอยู่ ทำไมฉันฟังไม่เข้าใจเลย?”
เธอพูดเรื่องข้อความ
คงไม่ใช่ข้อความเมื่อหกปีก่อนนั่นนะ?
คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ ในใจมิลลี่กระตุกขึ้นมาทีหนึ่ง ใบหูกับส่วนหลังของหัวสมองชาและเย็นวาบขึ้นมา
มายมิ้นท์เห็นว่ามิลลี่แกล้งทำเป็นสงสัย เงยหน้าเล็กน้อยแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชา: “ฉันพูดอะไร เธอรู้ดีแก่ใจ หกปีก่อน ตอนที่ฉันโทรหาข้าวก้องเพื่อนทางจดหมายของฉันครั้งแรก ฉันโทรที่หอพัก ตอนนั้นนอกจากฉันแล้ว ก็มีแต่เธอที่อยู่ด้วย ดังนั้นเธอได้ยินแล้วใช่ไหม? ได้ยินวันที่และเวลาที่ฉันกับข้าวก้องนัดพบกัน!”
สีหน้ามิลลี่ซีดขาวไปในทันที หัวใจก็เต้นเร็วระรัวขึ้นมาเพราะความตื่นตระหนก
“เธอโกหกไม่เป็น!” มายมิ้นท์มองดูเล็บของตัวเอง น้ำเสียงเย็นชาจืดชืด “ฉันรู้จักเธอดี ตอนที่โกหก เธอก็จะพูดตะกุกตะกัก แล้วก็พูดอะไรไม่ออก!”
คำพูดนี้ ตัดหนทางทั้งหมดของมิลลี่ไปในทันที ให้เธออย่ามีความคิดที่จะโกหกอีก
“ขอโทษด้วยมายมิ้นท์ ขอโทษด้วยจริงๆ……” มิลลี่ก้มหน้าลง ปิดหน้าเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ร้องไห้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด
มายมิ้นท์ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ การแสดงออกทางสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ยังเย็นชาขนาดนั้นอยู่ “ฉันที่เหยื่อของคำพูดคำเดียวของเธอ ทำให้พลาดโอกาสในการพบเจอเพื่อนทางจดหมายยังไม่ร้องไห้เลย เธอร้องทำไม? เธอมีสิทธิอะไรมาร้องไห้?”
“ฉัน……” เสียงร้องไห้มิลลี่หยุดไป จากนั้นก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา
ใช่แล้ว เหยื่อยังไม่ร้องไห้ เธอผู้เป็นคนกระทำความผิดกลับร้องไห้แทน
ดังนั้นเธอมีสิทธิอะไร ร้องไห้ต่อหน้าเหยื่อที่ถูกตัวเองหลอก แถมยังร้องไห้เหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมขนาดนี้
“ขอโทษด้วยมายมิ้นท์!” มิลลี่ขอโทษอีกครั้ง
มายมิ้นท์เยาะเย้ย “พูดมาเถอะ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย?”
มิลลี่กัดริมฝีปาก ไม่ได้ตอบคำถามในทันที ราวกับกำลังทำการต่อสู้อะไรบางอย่างในจิตใจ
ไม่กี่วินาทีผ่านไป เธอถึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยปาก “เพราะเงิน มายมิ้นท์ เธอก็รู้ว่าบ้านของฉันฐานะปานกลาง ทุกเดือนนอกจากค่าครองชีพที่แน่นอนแล้ว ก็ไม่มีเงินเหลือสำหรับให้ฉันซื้อของที่ฉันชอบแล้ว พอดีตอนนั้นฉันเพิ่งจะมีแฟนคนหนึ่ง แฟนฉันยังมีคนที่ค่อนข้างมีเงินตามจีบเขาด้วย ฉันไม่อยากดูด้อยกว่าผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นฉันจึงรับเงินสองแสนที่ส้มเปรี้ยวเสนอให้ฉัน”
“จากนั้นล่ะ?” มายมิ้นท์พ่นออกมาสามคำด้วยสายตาคลุมเครือ
มิลลี่วางลูกที่ผล็อยหลับไปหลังจากดื่มนมเสร็จกลับไปบนเตียงนอนเด็ก พูดต่อว่า: “จากนั้นในเช้าวันที่เธอกับข้าวก้องนัดพบกัน ฉันก็จงใจบอกว่าโทรศัพท์มือถือแบตหมด ขอยืมใช้โทรศัพท์มือถือของเธอ ตอนที่คืนโทรศัพท์มือถือให้เธอ ก็บอกเธอว่าข้าวก้องส่งข้อความ เลื่อนเวลาจากที่นัดเจอกันตอนเช้า เปลี่ยนเป็นตอนบ่าย จากนั้นก็บอกว่าข้อความถูกฉันลบไปโดยไม่ทันระวัง”
“เฮอะ เธอนี่มันแน่จริงๆ!” มายมิ้นท์บีบโทรศัพท์มือถือแน่น น้ำเสียงในความโกรธ ผสมไปด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างสุดซึ้ง “มิลลี่ เธอรู้ไหม? ฉันไม่เคยนึกสงสัยเธอเลย ในวินาทีก่อนที่ฉันจะรู้ความจริงฉันก็ยังไม่มี เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยเรามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี ดังนั้นเธอพูดอะไรฉันก็เชื่อเธอทั้งนั้น แต่เธอล่ะ เพื่อเงินสองแสน เธอก็ทำแบบนี้กับฉัน!”
ฟังคำกล่าวโทษของมายมิ้นท์ มิลลี่ร้องไห้จนไม่มีเสียง เอาแต่พูดขอโทษซ้ำๆ
มายมิ้นท์ก็เช็ดมุมตาตัวเอง สีหน้าท่าทางกลับไปเป็นเย็นชาใหม่อีกครั้ง “ทำไมส้มเปรี้ยวถึงรู้เรื่องที่ฉันกับข้าวก้องนัดเจอกัน? เธอบอกส้มเปรี้ยวเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบอกเธอนะ!” มิลลี่รีบส่ายหน้าอธิบาย “ตอนนั้นฉันเกลียดส้มเปรี้ยวขนาดนั้น ฉันจะไปพูดเรื่องพวกนี้กับเธอได้อย่างไร ฉันบอกกับชาช่า ตอนที่เรากำลังกินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร แล้วส้มเปรี้ยวก็ผ่านมาได้ยินเข้าพอดี”
ชาช่า ก็คือรูมเมทอีกคนของพวกเธอ
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปาก “ดังนั้นส้มเปรี้ยวเลยไปหาเธอ ให้เงินสองแสนกับเธอ ให้เธอเปลี่ยนเวลานัดพบของฉันกับข้าวก้อง?”