รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 279 จับคนร้ายได้แล้ว
ที่แท้เมื่อสามเดือนก่อน เขาก็มีโอกาสที่จะรู้ว่ามายมิ้นท์ถึงจะเป็นต้นไผ่ที่แท้จริง
เมื่อสามเดือนก่อน เขาเพิ่ง หย่ากับมายมิ้นท์ ถ้าเขารู้ว่ามายมิ้นท์เป็นต้นไผ่ในเวลานั้น ส้มเปรี้ยวก็คงจะไม่มีโอกาสได้ลงมือกับมายมิ้นท์ และเขาก็อาจจะคืนดีกับมายมิ้นท์ไปนานแล้วก็ได้
แต่ว่า ไม่มีถ้าหาก!
เรื่องนี้เป็นเพราะปีโป้ จึงทำให้เขาพลาดเวลาที่จะจดจำมายมิ้นท์ขึ้นได้
แต่เขาเองก็ต้องยอมรับด้วยว่า ก็เป็นเพราะเขาเองด้วย หากตอนที่ปีโป้แย่งจดหมายไป เขาหนักแน่นความศรัทธาที่อยู่ในใจของเขากว่านี้ แล้วแย่งจดหมายกลับมา เรื่องทั้งหมดก็มาไม่ถึงจุดนี้สินะ
พูดได้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นการกลั่นแกล้งของฟ้าเท่านั้น
อีกฝั่ง ปีโป้ที่ถูกเปปเปอร์วางสายไป เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ถือมือถือไว้แล้วเดินไปเดินมา “แย่แล้วๆ คราวนี้พี่ชายใหญ่ต้องเกลียดผมมากแน่ๆเลย!”
เขาเองก็เสียใจมาก ที่ไม่ยอมให้พี่ชายใหญ่ได้อ่านจดหมายในตอนนั้น
ถ้าพี่ชายใหญ่ได้อ่านละก็ ก็คงจะไม่มีอะไรของส้มเปรี้ยวแล้วสินะ และพี่ชายใหญ่กับพี่มายมิ้นท์ก็คงจะแต่งงานใหม่นานแล้ว
แต่ทุกอย่างนี้ กลับถูกเขาทำพังไปหมด!
“ไม่ได้ ต้องหาวิธีชดเชยให้ได้” ปีโป้กลอกตาไปมา จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะโทรหามายมิ้นท์ “พี่มายมิ้นท์ ช่วยด้วยครับ!”
มายมิ้นท์กำลังตรวจเอกสารอยู่ เธอไม่ได้ดูเลยว่าใครโทรมา และรับโทรศัพท์เลย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปีโป้โทรมา แทมยังบอกให้เธอช่วยชีวิตเขาด้วย
“ทำไม?เข้าโรงพักอีกแล้วเหรอ?” มายมิ้นท์หงีบโทรศัพท์ไว้บนไหล่ แล้วถามอย่างเฉยเมย
ปีโป้ทำเสียงเชอะ “ใครเข้าโรงพักอีกแล้ว พี่มายมิ้นท์หวังอะไรดีๆในตัวผมหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าฉันหวังไม่ได้กับนาย แต่ว่านายมันดูจากโหงวเฮ้งแลเเป็นคนที่ต้องเข้าโรงพักนี่นะ” มายมิ้นเซ็นลายเซ็นไปด้วยพูดไปด้วย
ปีโป้โมโหจนหน้าแดง “พี่มายมิ้นท์พี่จะเกินไปแล้วนะครับ!”
“เอาละๆ ฉันแค่ล้อเล่นกับนายเอง มีเรื่องอะไรก็รีบพูด ฉันยุ่งอยู่” มายมิ้นท์ปิดเอกสารที่เซ็นเสร็จแล้ว วางไว้ข้างๆ และเอาเอกสารอีกฉบับหนึ่งมาตรวจต่อ
ปีโป้เกาผมและตอบกลับอย่างทื่อ ๆว่า:“คืออย่างงี้ครับ ผมอาจถูกพี่ชายเกลียดชังแล้วครับ!”
หลังจากนั้น เขาก็พูดเกี่ยวกับจดหมายฉบับนั้นให้เธอให้
หลังจากที่มายมิ้นท์ฟังจบ ปากกาในมือของเธอก็หยุดลง และเธอก็พึ่งรู้ว่า ที่แท้หลังจากที่ไอ้หมอนี่เอาจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว ยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย
เมื่อเห็นว่ามายมิ้นไม่ตอบกลับ ปีโป้ก็รู้สึกกังวลมาก “พี่มายมิ้นท์ คราวนี้พี่ชายใหญ่ต้องเกลียดผมมากๆแน่ พี่ต้องช่วยผมนะครับ!”
“ขอโทษนะ นี่เป็นเรื่องในบ้านของนาย ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง” หลังจากที่มายมิ้นท์พูดจบ เธอก็ตรวจเอกสารต่อ
ปีโป้ไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธและกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมละ เรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับพี่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผม……”
“พอแล้ว หยุดพูดได้แล้ว!” มายมิ้นท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันรู้ว่านายต้องการจะพูดอะไร นายอยากบอกว่าเป็นเพราะนาย ดังนั้นพี่ชายนายกับฉันจึงไม่ได้รู้จักกันใช่ไหม?”
ปีโป้พยักหน้า “ใช่ ถ้าตอนนั้นผมปล่อยให้พี่ชายใหญ่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้นไป บางทีพี่กับพี่ชายใหญ่ก็อาจจะแต่งงานกันใหม่นานแล้วก็ได้”
“นายพูดผิดแล้ว!” มายมิ้นท์พลิกเอกสารอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆบนใบหน้า “แม้ว่านายจะเอาจดหมายให้เปปเปอร์ได้ดูในเวลานั้นแล้ว ฉันและเขาก็ไม่อาจจะแต่งกันงานใหม่ได้”
“ทำไมละครับ?” ปีโป้อ้าปากกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
ริมฝีปากที่แดงของมายมิ้นท์ค่อยๆอ้าขึ้น และตอบอย่างเฉยเมย เย็นชาว่า:“ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น แต่ถ้าถามว่าทำไม นั้นก็เพราะว่าฉันไม่ได้รักเขา ดังนั้นแล้วทำไมฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันไม่รักใหม่ด้วยละ? ”
เสร็จแล้วเธอก็วางสายไป
ขณะนี้มีเสียงเคาะประตูห้องสำนักงานดังขึ้น
มายมิ้นท์หน้าก็เงยและพูดว่า “เข้ามา!”
ซินดี้วางมือลงแล้วเดินเข้ามา และยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของเธอ “ประธานมายมิ้นท์ค่ะ เมื่อกี้ทางสถานีตำรวจโทรมาบอกว่า ให้คุณไปที่สถานีตำรวจ เพราะพวกเขาจับคนร้ายที่ฉายภาพน่ากลัวบนหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องของคุณแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มายมิ้นท์ก็เงยหน้าขึ้นทันที “จับได้แล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” เลขาซินดี้พยักหน้า
มายมิ้นท์ก็หัวเราะ
ไม่ได้รับการตอบกลับจากสถานีตำรวจมานานแล้ว เธอคิดว่าเป็นเพราะสถานีตำรวจจับคนไม่ได้และปิดคดีโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย!” มาายมิ้นท์วางปากกาลง หยิบกระเป๋าของเธอแล้วเดินออกไปที่ประตูทางสำนักงาน
พึ่งเดินออกมาจากสำนักงาน ก็เห็นราเม็งที่เดินเข้ามาหาเธอ
“พี่จะออกไปเหรอครับ?” ราเม็งหยุดอยู่ตรงข้ามของมายมิ้นท์ ขณะถามก็มองดูกระเป๋าบนไหล่ของมายมิ้นท์
มายมิ้นท์พยักหน้า “ใช่จะ พี่จะไปสถานีตำรวจแป๊บ”
“ไปสถานีตำรวจ?” ราเม็งหรี่ตาลงเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก จับผู้ต้องหาคนหนึ่งที่ฉายภาพโครงกระดูกบนหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่ห้องพี่ในตอนกลางคืน!” มายมิ้นตอบกลับอย่างคร่าวๆ
สีหน้าของราเม็งก็มืดลง ” ฉายภาพโครงกระดูกบนหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่ห้องพี่ในตอนกลางคืน?”
“ใช่นะสิ!”
“พี่ ทำไมเรื่องนี้พี่ไม่บอกให้ผมล่ะ?” ราเม็งจับมือของมายมิ้นท์ไว้ด้วยแววตาที่ไม่เห็นด้วย “แล้วถ้าคนคน นั้นเป็นคนที่ดุร้ายป่าเถื่อนล่ะ?”
เมื่อมองดูสายตาที่กังวลของเขา มายมิ้นท์ก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างยิ่ง และตบหลังมือของเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลเหรอ นี่พี่ก็ไม่ได้เป็นไรไม่ใช่เหรอ?และคนก็ถูกจับได้แล้วด้วย”
“ผมรู้ว่าพี่ไม่เป็นไร แต่คราวนี้ไม่เป็นไร ไม่ได้หมายถึงว่าคราวหน้าจะไม่เป็นไรนี่นะ!” ราเม็งก็ยังรู้สึกกังวลอยู่
มายมิ้นท์ยิ้มแล้วพูดว่า “โอเคๆ พี่รู้ล่ะ คราวหน้าถ้ามีเรื่องอะไรอีก พี่จะบอกนายคนแรกเลยดีไหม?”
ราเม็งถึงจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตอบอืมไปคำหนึ่ง
มายมิ้นท์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “โอเค พี่ไปสถานีตำรวจก่อนล่ะ ถ้านายมีเรื่องอะไรจะหาพี่ รอพี่กลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ”
“ผมไม่มีเรื่องอะไรครับ ก็แค่มาดูพี่เฉยๆ ในเมื่อพี่จะไป ผมไปเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า”
พูดจบ เหมือนกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ ราเม็งจึงจับมือเธอและเดินไปที่ลิฟต์เลย
บนรถ
มายมิ้นท์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับ จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหันไปมองราเม็งที่กำลังขับรถอยู่ “ใช่แล้วราเม็ง คราวที่แล้วพี่เคยบอกกับนายแล้วใช่ไหมว่า ชาหวานต้องการเส้นผมของนาย? นายบอกว่านายลองพิจารณาดูก่อน แล้วพิจารณาได้อย่างไรแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของราเม็งวูบไหวเพียงครู่เดียว และสงบลงอย่างรวดเร็ว แล้วตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “ผมคิดว่าช่างเถอะครับ ผมก็เป็นลูกแท้ๆของพ่อแม่ผม จะไปเป็นลูกของคนอื่นได้อย่างไร ส่วนที่เธอบอกว่าผมหน้าตาคล้ายกัยปู่ของเธอ ผมคิดว่ามันคงเป็นพรหมลิขิตนะครับ เพราะโลกนี้มีคนเยอะแยะที่หน้าตาเหมือนกัน”
“นั้นมันก็จริงนะ” มายมิ้นท์เอามือท้าวหัว “พี่เคยเห็นรูปพ่อแม่ของนายแล้ว นายดูเหมือนกับพวกเขามากจริงๆ บางทีชาหวานอาจดูผิดจริงก็ได้ เอาอย่างงี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่บอกกับชาหวานว่า ให้เธออย่างคิดที่จะมาหาวิธีเอาผมของนายอีกต่อไป”
“อืม” ราเม็งยิ้งและพยักหน้า
เมื่อมายมิ้นท์หันไปทางหน้าต่าง และมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปในทันที สิ่งแทนมาคืนความเกลียดชังที่เต็มไปทั้งหน้า
ฐาวิทย์ไอ้แก่นั้นที่ทอดทิ้งเขาและแม่ของเขามาก่อน ตอนนี้จะตายแล้ว รู้ว่าลูกชายคนอื่นๆของมันใช่ไม่ได้เรื่อง แล้วก็มาหาเขาให้เขากลับไป
ฐาวิทย์คิดจริงๆเหรอว่าหลังจากที่เขากลับไปแล้ว เขาก็จะรู้สึกสบายใจเหรอ?
เชอะ ไร้เดียงสาจริงๆเลย!
เขาอยากให้ฐาวิทย์ตายมากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆของเขาอีก !
สิบนาทีต่อมาก็มาถึงที่สถานีตำรวจ
ราเม็งจอดรถเสร็จ และในขณะที่มายมิ้นท์กำลังลงไปจากรถ จู่ๆก็มีรถอีกคันขับเข้ามาและบีบแตรใส่เธอ เพื่อส่งสัญญาณให้เธอหลีกทางไปเร็วๆ
มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าว และรถคันนั้นก็ตามหลังเธอมา และในที่สุดก็หยุดในที่จอดรถว่างที่เธอเพิ่งเข้าครอบครอง
ไม่นาน ประตูรถคันนั้นก็เปิดออก และคนที่ลงมานั้นก็เป็นคนที่มายมิ้นท์คุ้นเคยมาก เยี่ยมบุญ!
เยี่ยมบุญเห็นมายมิ้นท์ตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
เมื่อมองหน้ากัน เยี่ยมบุญก็ถามด้วยใบหน้าที่มืดว่า “คุณมาทำอะไรที่สถานีตำรวจ?”
“นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ดูเหมือนว่าไม่เกี่ยวอะไรกับประธานเยี่ยมบุญเลยนี่นา?” มายมิ้นท์ตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
ราเม็งยิ่งพูดตรงๆ กว่ามายมิ้นท์อีก หลังจากเหลือบมองเยี่ยมบุญแล้วก็พูดกับมายมิ้นท์ว่า:“พี่ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคนไม่สำคัญอะไรเช่นนี้ เราเข้าไปกันก่อนเถอะ”
มายมิ้นพยักหน้า
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะหันหลัง เยี่ยมบุญก็หรี่ตาลงและตะโกนเรียกเธอ “หยุด!”