รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 280 ที่แท้คือขนมผิงนี่เอง
มายมิ้นท์หยุดเดิน “ประธานเยี่ยมบุญยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ?”
ราเม็งก็หันมามองเยี่ยมบุญ
เยี่ยมบุญเดินไปข้างหน้าของทางทั้งสองสักสองสามก้าว และจ้องมองมายมิ้นท์ด้วยสายตาที่ร้ายกาจ
“เรื่องที่ส้มเปรี้ยวถูกคนอื่นรังแก คุณเป็นคนทำใช่ไหม?”
ตอนแรกเขาคิดว่าที่ส้มเปรี้ยวถูกรังแกนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ
แต่ภายหลังเขาลองมาวิเคราะห์ดูดีๆแล้ว พบว่าเบื่องหลังของเรื่องนี้มันไม่ง่ายเหมือนที่คิด
หากส้มเปรี้ยวถูกคนอื่นรังแกโดยบังเบิญ แล้วคนที่รังแกส้มเปรี้ยวก็ไม่มีทางที่จะทิ้งเธอไว้ในที่ย่านใจกลางเมืองได้ เพราะพวกเขาก็กลัวที่จะโดนจับ
แต่คนที่รังแกส้มเปรี้ยวกลับทิ้งเธอไว้ในย่านใจกลางเมือง และให้เธอขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เพื่อทำลายชื่อเสียงของส้มเปรี้ยว ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรเรื่องนี้ก็มีผู้ที่แอบสั่งการอยู่ลับหลังแน่นอน
และคนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ มายมิ้นท์
มีแค่เธอคนเดี๋ยว ที่มีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับส้มเปรี้ยวได้!
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยมบุญ มายมิ้นท์ก็รู้สึกตลกมาก “ทำไม คุณหาฆาตกรตัวจริงไม่เจอ เลยทุโยนความผิดมาให้ฉันทั้งหมดเหรอ?”
ราเม็งที่อยู่ข้างๆเธอก็ไม่พูดอะไรและหลับตาลง
เยี่ยมบุญทำเสียเชอะ “ผมไม่ได้ใส่ร้ายคุณหรอกนะ แต่เซ้นต์ของผมมันบอกผมว่า เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับคุณแน่นอน!”
ดวงตาของมายมิ้นท์กะพริบเล็กน้อย
เขาพูดถูก เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเธอจริงด้วย
แม้ว่าการันต์จะเป็นคนลงมือ แต่ที่การันต์ทำไปก็เพื่อเธอ ดังนั้นจึงถูกต้องที่บอกว่าเกี่ยวข้องกับเธอ
แต่ใช่แล้วจะทำไมล่ะ เธอไม่ยอมรับก็จบ
เมื่อคิดเช่นนี้ มายมิ้นท์ก็ยิ้ม “แค่ใช้เซ้นต์ก็มาตัดสินฉัน ไม่น่าแปลกเลยที่เอสซีกรุ๊ปกำลังแย่ลงอยู่เรื่อยๆ ได้ยินมาว่าประธานเปปเปอร์ได้ยกเลิกความร่วมมือทั้งหมดระหว่างบริษัทตระกูลนวบดินทร์และเอสซีกรุ๊ป แล้วนี่นา ขอแสดงความยินดีกับประธานเยี่ยมบุญด้วยนะคะ”
“คุณ……” เยี่ยมบุญโมโหมาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ค่อยพูดอย่างเย็นชาว่า “อีนังหนูน้อยที่ช่างพูดนัก!”
อีนังหนูคนนี้กำลังหัวเราะเยาะเย้ยว่าตอนนี้เขาใช้เซ้นต์ในการบริหารเอสซีกรุ๊ปอยู่ชัดๆ ไม่มีความสามารถที่แท้จริง!
ยังหัวเราะเยาะที่เขาโพสต์วิดีโอแล้วทำให้เปปเปอร์โมโห และเขายังนึกว่าเปปเปอร์จะไม่ยกเลิกความร่วมมือด้วย แต่เขาคิดผิดไปแล้ว
อีนังหนูน้อยนี้ รับมือยากจริงๆเลย!
เยี่ยมบุญมองดูมายมิ้นท์อย่างน่าขนลุก
แต่มายมิ้นท์ไม่รู้สึกกลัวเลย แถมยังมองกลับเขาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณคะ ประธานเยี่ยมบุญ ฉันไม่รู้สึกว่าช่างพูดมีอะไรที่ไม่ดีสักหน่อย อย่างน้อยเมื่อเจอคนที่ตัวเองเกลียด ฉันสามารถด่าว่าเขาเหมือนกับหลานชายของฉัน ประธานเยี่ยมบุญคิดไงคะ?”
มุมปากของเยี่ยมบุญกระตุก เขาจะฟังไม่ออกได้ไงว่าเธอกำลังพูดถึงเขาอยู่
แต่เขาไม่สามรถอาละวาดได้ เพราะไม่งั้นก็หมายความว่าเขายอมรับว่าตัวเองเป็นหลานชายของเธอ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยมบุญก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งติดต่อกัน จึงจะระงับความโกรธในใจของเขาได้ และฝืนยิ้ม “คุณพูดถูก!”
“ฮ่าๆ!” ราเม็งหัวเราะออกมาโดยไม่ไว้หน้าเขาเลย
เยี่ยมบุญจ้องมาที่เขาอย่างแรง
เมื่อราเม็งรู้ตัว จึงค่อยๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา และจ้องมองเขา
เมื่อมองดูดวงตาที่มืดมิดและเย็นชาของราเม็ง เยี่ยมบุญก็รู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองกำลังจ้องหน้ากับแจ็กคัลอยู่ ซึ่งทำให้เขาขนลุก ตัวสั่นไปหมด
เกิดอะไรขึ้น?
โมเดลคนนี้ มีสายตาที่น่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เคยเห็นที่ไหนนะ?
เยี่ยมบุญขมวดคิ้ว แต่ก็ยังจำไม่ได้
มายมิ้นท์มองดูเวลา “โอเค ราเม็ง เราไปกันเถอะ!”
ใบหน้าของราเม็งมียิ้มขึ้นอีกครั้ง และเขาก็ตอบกลับอืมอย่างอ่อนโยน
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าต่อ
ในที่สุดเยี่ยมบุญก็ฟื้นคืนสติ มองหลังของทั้งสองด้วยสายตาที่ไร้กาจและตะโกนว่า: “มายมิ้นท์ คุณควรภาวนาให้ฟ้าคุ้มครองคุณ อย่าให้ผมจับได้ว่าเรื่องที่ส้มเปรี้ยวถูกรังแกนั้นมันเกี่ยวข้องกับคุณจริงๆ ไม่อย่างงั้นละก็ต่อให้ครอบครัวผมล่มจม ผมก็จะไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่!”
เขาวางแผนจะให้ส้มเปรี้ยวแต่งงานกับคนตระกูลนวบดินทร์ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม้จะบังคับให้ส้มเปรี้ยวกับเปปเปอร์ให้หุงข้าวสารเป็นข้าวสุกก็ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นสติปัญญาและกำลังที่เขาทำมาหลายปีนั้นจึงถูกทำลายไปหมด จะให้เขาไม่โมโหได้อย่างไร
เมื่อมายมิ้นท์ได้ยินคำขู่ของเยี่ยมบุญ ก็หยุดชั่วขณะหนึ่งแล้วตอบอย่างเย็นชาโดยไม่หันกลับมามอง “ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอดูนะ”
ราเม็งไม่พูดอะไร แต่เขาหันกลับมามองเยี่ยมบุญด้วยสายตาที่เย็นชา น่ากลัวเหมือนเมื่อกี้ ราวกับว่าจะจดจำเยี่ยมบุญไว้ในใจของเขาไว้ให้ดี จนถึงตรงที่จะขึ้นบันได เขาจึงค่อยหันหัวกลับไป
นอกห้องสอบสวน มายมิ้นท์ยืนอยู่หน้าประตูและเห็นผู้ต้องสงสัยที่อยู่ภายในผ่านจากกระจกทางประตู เป็นชายร่างเล็กที่มีหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ สวมเสื้อกันลมสีเทา คอและไหล่ของเขาหดเข้าหากัน และเขาดูเป็นหวาดกลัวและไม่สบายใจอย่างยิ่ง
มันก็จริง ถูกจับตัวมาที่สถานีตำรวจแล้ว ไม่กลัวนะสิถึงดูแปลก!
“เขาเหรอที่เป็นคนฉายภาพแบบนั้นบนหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานของฉัน?” มายมิ้นท์มองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง และถอนสายตากลับไป แล้วถามตำรวจชายที่อยู่ข้างๆ เธอ
แต่ราเม็งกลับยังคงจ้องมองชายคนนั้นต่อ และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
มายมิ้นท์ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่มองไปที่ตำรวจชายและรอคำตอบจากตำรวจชาย
ตำรวจชายพยักหน้า “ใช่ครับ เราตรวจสอบกล้องวงจรที่ถนนหลายส่วน และในที่สุดก็ล็อคเขาไว้ เขาชื่อเอส เขาเป็นปาปารัสซี่!”
“ปาปารัสซี่?” มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว
ไม่แปลกเลยที่เธอพบเขาในคืนนั้น คนคนนี้จึงรีบซ่อนเครื่องมืออาชญากรรมไว้ในเสื้อของเขาและวิ่งหนีไปทันที
ตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าการกระทำนี้คุ้นเคยมาก มันคือท่าวิ่งตอนที่ปาปารัสซี่สะกดรอยตามดาราแล้วถูกดาราพบเห็นไม่ใช่เหรอ?
“เขาได้บอกหรือไม่ว่าทำไมเขาถึงฉายภาพสยองขวัญบนหน้าต่างของพี่สาวผม?” ขณะนี้ราเม็งก็ไม่ได้มองเอสต่อ เขาหันหลังไปถามตำรวจชาย
มายมิ้นท์ตบหน้าผากของเธอ “ใช่ ฉันเกือบลืมถามเลย”
“มีครับ หลังจากที่เขาถูกจับตัวมา เราถามเขาก็สารภาพมาตามตรงๆ เลยครับ เขาบอกว่าเขาถูกจ้างโดยผู้หญิงที่ชื่อขนมผิง ในราคาสิบแสนหยวน เพื่อทำให้คุณมายมิ้นท์ตกใจ”
“ขนมผิง?” มายมิ้นท์และราเม็งต่างอุทานพร้อมกันด้วยความตกใจ
ดูท่าแล้วทั้งสองนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นขนมผิง
ระหว่างทางตอนมาที่นี่ พวกเขายังคาดเดากันอยู่ว่า เป็นส้มเปรี้ยวจ้างชายคนนี้ทำหรือไม่
แต่กลับเหนือความคาดหมายกว่าที่พวกเขาคิดไว้ คนๆนั้นกลับเป็นขนมผิง!
“แล้วเอสได้บอกหรือไม่ว่าทำไมขนมผิงถึงต้องมาขู่ฉัน?” มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากที่แดงของเธอและถามอีกครั้ง
ตำรวจชายส่ายหัว “อันนี้ไม่ได้บอกครับ และเอสเอาก็ไม่ได้ถามเธอด้วยครับ ดังนั้นถ้าคุณอยากทราบ คุณต้องถามคุณขนมผิงเองเท่านั้นครับ”
“ฉันเข้าใจแล้วคะ” มายมิ้นท์นวดขมับข “แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่คดีอาญา แต่ก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมการข่มขู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ฉันขอให้คุณตำรวจนำตัวขนมผิงมาที่นี่ ในข้อหาที่ข่มขู่ฉัน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ?” มายมิ้นท์มองดูตำรวจชาย
ตำรวจชายยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีปัญหาอะไรครับ เดี๋ยวผมจะบอกให้พวกเขาเรียกคนครับ พวกคุณนั่งพักด้านข้างนี่ก่อนนะครับ”
มายมิ้นท์ตอบอืม “โอเคค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ตำรวจชายไปแล้ว
มายมิ้นท์และรามเม็งก็เดินไปที่เก้าอี้แถวถัดไปและนั่งลง รอขนมผิงมา
ส่วนผู้ชายในห้องสอบสวนนั้น มายมิ้นท์ไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าไปพบเขา ที่ควรถามตำรวจเขาก็ได้ถามไปหมดแล้ว
และชายคนนั้นก็แค่เอาเงินแล้วทำตามที่เธอสั่ง ก็ไม่รู้อะไรมากหรอก ไปพบเขาก็ถามอะไรอย่างอื่นไม่ได้หรอก มันเสียเวลาเปล่าๆ
ในโรงพยาบาล ขนมผิงเยี่ยมส้มเปรี้ยวเสร็จและกำลังจะกลับ พึ่งก้าวออกจากลิฟต์ ก็มีสายจากสถานีตำรวจโทรมา
“ไม่ทราบว่าเป็นคุณขนมผิงหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ค่ะ คุณคือใครคะ?” ขนมผิงถามด้วยความสงสัย และเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“ที่นี่คือสถานีตำรวจครับ”
“สถานีตำรวจ?” เสียงของขนมผิงดังขึ้นอย่างฉับพลัน ดึงดูดความสนใจของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่อยู่ใกล้เคียง และหนึ่งในนั้นก็มีผู้ช่วยเหมันตร์ที่ถือถุงยาอยู่
“เออ……ไม่ทราบว่าคุณหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?” ขนมผิงกลืนน้ำลายและถามด้วยเสียงที่สั่น
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่เธอถูกกักขังเป็นเวลาครึ่งเดือน ตอนนี้เธอแค่ได้ยินสถานีตำรวจหรือคำพูดที่เกี่ยวข้องกับสถานีตำรวจก็รู้สึกกลัวแล้ว
โดยเฉพาะช่วงนี้เธอเพิ่งทำอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า