รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 320 จำเป็นต้องเอาเด็กออก
ราวกับดูออกว่าเปปเปอร์กำลังคิดอะไรอยู่ การันต์ถอดแว่นออกมาเช็ด พลางพูดขึ้นอย่างเงียบๆ:“ไม่อยากทำร้ายมายมิ้นท์ แค่ต้องการลงมือกับเด็กในท้อง เห็นได้ชัดว่าคนที่รักมายมิ้นท์เป็นคนทำ เพราะว่าเขาไม่สามารถยอมรับลูกของชายคนอื่นที่อยู่ในท้องของมายมิ้นท์ได้ ดังนั้นคุณก็ใช้วิธีตัดตัวเลือกและคงจะรู้เองว่าเป็นใคร”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็สวมแว่นอีกครั้งแล้วเดินจากไป เพื่อจัดห้องพักผู้ป่วยให้กับมายมิ้นท์
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงแค่มายมิ้นท์ไม่เป็นไร เรื่องอื่นเขาก็ไม่เป็นกังวล
ดังนั้นลูกในท้องของมายมิ้นท์จะเป็นยังไง เขาไม่ได้ใส่ใจ
อยากโกรธ ก็ให้เปปเปอร์โกรธไปคนเดียวก็แล้วกัน
การันต์จากไปแล้ว เปปเปอร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพราะว่ามายมิ้นท์ยังไม่ออกมา
เขากำหมัดแน่น หน้าหมองคล้ำยากคาดเดา
คนที่ชอบมายมิ้นท์เป็นคนวางยามายมิ้นท์ เท่าที่เขารู้คนที่ชอบมายมิ้นท์มีทั้งหมดสามคน
ลาเต้ ราเม็ง และทามทอย!
ดังนั้นคนที่วางยา จะเป็นหนึ่งในสามคนนี้งั้นเหรอ?
เปปเปอร์ก้มหน้าลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ
เขาคิดเกี่ยวกับทั้งสามคนอย่างละเอียด หลังจากครุ่นคิดแล้ว สุดท้ายก็ยังคงไม่แน่ใจว่าเป็นใครกันแน่
แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นใคร เขาจะไม่ยอมปล่อยไปแบบนี้อย่างเด็ดขาด!
ขณะที่กำลังคิด เสียงล้อหมุนก็ดังขึ้น
เปปเปอร์ระงับความโกรธแค้นที่อยู่ในใจ ก้าวเดินไปข้างหน้า จ้องมองไปที่หน้าห้องฉุกเฉิน
พนักงานทางการแพทย์ลากมายมิ้นท์ออกมา
เปปเปอร์เดินตามข้างเตียง“เธอไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ?”
พยาบาลคนหนึ่งห้อยสายน้ำเกลือพลางพูดขึ้นว่า:“ร่างกายของแม่ไม่เป็นไรแล้ว แต่ลูกในท้องมีปัญหาใหญ่ ……”
เปปเปอร์คว้ามือไปที่ที่วางแขนของเตียง พลางกำแน่น
แน่นอนว่าเขารู้ว่าปัญหาอะไร เมื่อสักครู่นี้การันต์ได้พูดแล้ว ร่างกายของเด็กในท้องมีความผิดปกติแล้ว
ซึ่งก็หมายความว่า เด็กคนนี้ ไม่สามารถปล่อยไว้ได้แล้ว
ช่วงเวลาหนึ่ง เปปเปอร์รู้สึกว่าใจของตนบีบรัดแน่นอย่างเจ็บปวด ราวกับมีเข็มมาทิ่มแทง มันเจ็บมากจนหายใจไม่ออก
เขาพยายามหาโอกาสที่เหมาะสม อยากที่จะบอกเรื่องลูกให้มายมิ้นท์ได้รู้ เขาไม่ได้ขอร้องให้มายมิ้นท์ให้อภัยเขา และแต่งงานกับเขาอีกครั้ง แต่อย่างน้อย พวกเขายังมีลูกที่ยังคงความผูกพัน
บางทีในอนาคตอาจจะมีสักวัน เธออาจจะเห็นแก่หน้าลูกและให้อภัยเขาสักครั้ง ครอบครัวของเขาทั้งสามคนก็จะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขอีกครั้ง
แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นฟองสบู่
ในห้องพักผู้ป่วย การันต์กำลังปรับน้ำเกลือให้กับมายมิ้นท์
เปปเปอร์มายังข้างกายของเขา พลางถามขึ้นอย่างไม่ยอมตัดใจ“เด็ก……ยังมีทางช่วยไหม?”
การันต์เจาะสายน้ำเกลือพลางพูดขึ้นว่า“คุณหมายความว่า เด็กคนนี้ยังสามารถกลับมามีพัฒนาการที่ปกติได้หรือไม่ ใช่ไหมครับ?”
เปปเปอร์พยักหน้า
เขาหมายความเช่นนั้น
การันต์ยิ้ม“ ไม่อย่างแน่นอนครับ หากพบก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์อาจจะเป็นไปได้ แต่ว่าตอนนี้เซลล์ที่กำลังพัฒนาของทารกในครรภ์มีรูปร่างผิดปกติ การรักษาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ”
“ดังนั้นเด็กคนนี้……”
“จำเป็นต้องเอาออก!”การันต์มองไปที่เขาและขัดจังหว่ะการพูดของเขา“นอกเสียจากว่าคุณต้องการให้มายมิ้นท์คลอดตัวประหลาดที่ไม่มีแขน ไม่มีขา บางทีอาจจะไม่มีตาไม่มีจมูกออกมา?”
“นั้นไม่ใช่ตัวประหลาด!”เปปเปอร์ตาแดงก่ำพลางคำรามขึ้น
การันต์ยักไหล่“ขอโทษครับ เป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ควรพูดต่อหน้าคุณ ว่าลูกของคุณเป็นตัวประหลาด แต่ว่าผมคิดว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ผิดแน่ คุณเป็นพ่อของเด็กคนนี้ แน่นอนว่าคุณคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ตัวประหลาด แต่คนอื่นล่ะ?คุณไม่สามารถบังคับความคิดของคนอื่นได้”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าลูกในท้องของมายมิ้นท์เป็นลูกของผม?”สายตาของเปปเปอร์จับจ้องไปที่เขา
การันต์ขยับแว่นตา“นี่มันยากเหรอ?ดูจากสีหน้าท่าทางของคุณก็ทราบแล้ว หากเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ คุณจะตื่นตระหนกขนาดนี้เหรอ สรุปก็คือคุณหารือกับมายมิ้นท์เถอะครับ ว่าจะผ่าตัดเมื่อไหร่ ผมแนะนำว่าช้าสุดห้ามเกินสัปดาห์หน้า เด็กเสียแล้ว
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้มันเจริญเติบโตต่อแล้ว รีบจัดการให้เรียบร้อย ก็จะมีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกายของเธอ”
พูดจบ เขาหยิบแฟ้มประวัติออกจากห้องผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนอื่นๆ ก็ตามเขาออกไป
ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงเปปเปอร์กับมายมิ้นท์สองคน
เปปเปอร์เดินมานั่งที่ข้างเตียง ยื่นมือไปจับมือที่ห้อยสายน้ำเกลือของมายมิ้นท์อยู่ มองใบหน้าที่ขาวซีดของเธอ ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
อีกทางด้านหนึ่ง ขณะที่การันต์เพิ่งเข้ามายังคลินิกของตัวเอง ก็มีคนมาเคาะประตู
“เข้ามา”การันต์วางแฟ้มประวัติการรักษาของมายมิ้นท์ลง พลางเอ่ยปากตะโกนออกมา
ประตูถูกเปิดออก คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เดินเข้ามาจากข้างนอก“รันต์ คุณยังยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
ดวงตาการันต์เผยประกายออกมาชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้าพลางตอบกลับว่า:“เรียบร้อยแล้วครับ คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คือแบบนี้นะ หลังจากที่ส้มเปรี้ยวออกจากสถานกักกัน ท่าทางดูผิดปกติ ไม่ค่อยพูดไม่ชอบเคลื่อนไหว ไม่ชอบยิ้ม หากไม่ได้เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้หล่อนพูดกับฉันสองประโยค ฉันคงสงสัยว่าหล่อนน่าจะเป็นโรคออทิซึม”คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถอนหายใจ
การันต์เม้มริมฝีปาก“คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์คิดมากไปแล้วครับ เซลล์บนหน้าของส้มเปรี้ยวหนากว่าคนอื่นถึงสามเท่า ผมคิดว่าคนอื่นอาจจะเป็นโรคออทิซึมได้ แต่หล่อนไม่เป็นอย่างแน่นอน นี่มันคือพรสวรรค์ของเธอ”
ความหมายคือ ส้มเปรี้ยวมีผิวที่หนากว่าคนปกติ จะเป็นโรคออทิซึมได้ยังไง
แต่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ฟังไม่เข้าใจ หล่อนได้ยินคำว่าเซลล์ คิดว่าการันต์กำลังพูดถึงเรื่องทางการแพทย์ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากแต่กลับยิ้มออกมา“ใช่เหรอ ?แบบนั้นก็ดีแล้ว”
การันต์หัวเราะ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง
เมื่อคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ได้ยิน ก็รู้สึกประหลาดใจ
เขากำลังเย้นหยันหล่อนอยู่หรือเปล่า?
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เงยหน้ามองการันต์ แต่ว่าในตอนนี้ท่าทีของการันต์ได้กลับมาเรียบเฉยเป็นปกติแล้ว คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
หล่อนจึงได้เริ่มสงสัยว่าเมื่อสักครู่นี้ฟังผิดหรือเปล่า
น่าจะฟังผิด เพราะถึงยังไงรันต์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับส้มเปรี้ยว อีกทั้งหล่อนก็เป็นแม่ของส้มเปรี้ยว เขาจะหัวเราะหล่อนทำไม
เมื่อคิดเช่นนี้ คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็โล่งใจ ยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดขึ้นว่า:“รันต์ แม้ว่าคุณจะบอกว่าส้มเปรี้ยวไม่น่าจะเป็น โรคออทิซึม แต่ว่าท่าทีเช่นนั้นของส้มเปรี้ยว ฉันไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก ฉันจำได้ว่าเพื่อให้ส้มเปรี้ยวตื่นขึ้นมา คุณไปต่างประเทศเพื่อดำเนินการทางจิตวิทยาโดยเฉพาะ ฉันก็เลยอยากให้คุณไปดูส้มเปรี้ยว ชี้แนะ ชี้แนะหล่อนหน่อย”
“ผมไปดูได้ไม่เป็นไร แต่ผมคิดว่าหล่อนน่าจะไม่อยากพบผม”การันต์กอดอก
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์นั้นไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้การันต์กับส้มเปรี้ยวนั้นแตกหักกันแล้ว คิดว่าเขาล้อเล่น
“จะเป็นไปได้ยังไง ตอนนี้ข้างกายของส้มเปรี้ยว นอกจากฉัน พ่อของหล่อน และพี่สาวแล้ว ก็ไม่มีเพื่อนที่ไหน สาวน้อยตระกูลสูงศักดิ์คนนั้นก็เลิกคบหากับส้มเปรี้ยวไปแล้ว ส่วนสาวน้อยตระกูลมหาเอกรัตนานั้นยังคบหากันอยู่ แต่ตอนนี้กักตัวยังไม่ได้ออกมา
ดังนั้นเพื่อนในตอนนี้ของส้มเปรี้ยวก็มีแค่คุณแล้ว ส้มเปรี้ยวเห็นคุณจะต้องดีใจมาก จะไม่อยากเห็นหน้าคุณได้ยังไง”คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์พูดขึ้น
การันต์ยิ้ม“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมจะไปดูหล่อนให้ครับ หวังว่าคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์จะไม่เสียใจภายหลังนะครับ”
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกราวสีขาวของเขา แล้วก้าวออกจากคลินิก
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ก็มาถึงยังห้องผู้ป่วยของส้มเปรี้ยว
เมื่อมาถึงยังห้องพักผู้ป่วย ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ได้เปิดออกแล้ว ชวนชมเช็ดตาแล้วออกมาจากข้างใน
เมื่อคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เห็น ก็ดึงหล่อนแล้วถามขึ้นว่า “ชวนชม เป็นอะไรไป?”
“ลูกไม่เป็นอะไร แต่น้องสาว ลูกก็แค่อยากปลอบใจน้องสาว แต่ว่าน้องสาวไม่อยากเห็นหน้าลูก ก็เลยไล่ลูกออกมาข้างนอก”ชวนชมพูดสะอื้น
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ขมวดคิ้ว“เด็กคนนี้เป็นอะไรไป คราวที่แล้วก็รับปากอย่างดีว่า จะพยายามเข้ากับลูกให้ได้ แต่ทำไมตอนนี้ ……”
“พอเถอะค่ะแม่ ไม่เกี่ยวกับน้องสาว ลูกผิดเอง ลูกทำให้น้องสาวต้องขายหน้า น้องสาวก็เลยเกลียดลูก แต่ว่าลูกก็ไม่อยากที่จะเป็นแบบนี้ หากลูกเติบโตที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ลูกก็คงไม่เป็นแบบนี้”ชวนชมมองคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์อย่างน้ำตาซึม