รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 367 ลาเต้กระอักกระอ่วน
คอนโดพราวฟ้า
ลาเต้ยังคงดูกล้องวงจรปิดอยู่ที่ห้องวงจรปิด จู่ๆเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
ลาเต้เดาว่าจะเป็นไมโลที่โทรมา จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เมื่อมองดูแล้วก็พบว่าเป็นไมโลจริงๆ จึงรีบรับสาย“ฮัลโหล หนุ่มน้อย ที่รักออกมาแล้วหรือยัง?”
“อึม อาสะใภ้ออกมาแล้วครับ ”ไมโลมองไปยังเตียงผู้ป่วย มายมิ้นท์สวมเครื่องช่วยหายใจอยู่ ขอบตาแดงก่ำ
ลาเต้ดีใจเป็นอย่างมาก“ดีจังเลย เดี๋ยวลุงจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
เขาวางสายโทรศัพท์ลง มองไปยังพนักงานที่อยู่ในห้องกล้องวงจรปิด “ขอสำเนากล้องวงจรปิดอันนี้ให้ผมหนึ่งชุด เดี๋ยวอีกสักพักจะมีตำรวจมา คุณบอกตำรวจว่าผมไปโรงพยาบาลก็แล้วกัน”
“ได้ครับคุณลาเต้”พนักงานพยักหน้ารับคำ
ลาเต้คว้าแฟลชไดร์ พลางเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ก็ถึงโรงพยาบาล
ลาเต้อิงตามที่ไมโลให้หมายเลขห้องพักผู้ป่วยมา แล้วมายังห้องพักของมายมิ้นท์
ในห้องพักผู้ป่วย นอกจากไมโลแล้ว ก็ยังมีหมอที่อยู่ที่นั่น
ลาเต้เข้าไป แล้วรีบมองไปยังเตียงผู้ป่วย เห็นสีหน้าท่าทางของมายมิ้นท์ไม่เปลี่ยนแปลง“ทำไมถึงได้ใส่เครื่องช่วยหายใจล่ะ?”
ต้องรู้ว่าหากใส่เครื่องช่วยหายใจ นั้นหมายความว่าผู้ป่วยนั้นไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ ล้วนเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิต
หรือว่าที่รัก……
จู่ๆดวงตาของลาเต้ก็แดงก่ำ ใต้ตามีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย รอบกายแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า
“ที่รัก……”
ลาเต้เซไปติดขอบเตียงผู้ป่วย จับมือที่เย็นเฉียบของมายมิ้นท์น้ำเสียงสะอื้นไห้“ที่รัก คุณอย่าทำให้ผมตกใจสิ คุณยังอายุน้อยอยู่เลย ทำไมถึงได้ทิ้งผมไปแล้วล่ะ ที่รัก ลืมตาสิ ลืมตามองผมสิ ……”
เมื่อได้ยินเสียงร้องโศกเศร้าของเขา หมอจึงมองเขาด้วยแววตาแปลกๆครู่หนึ่ง “คุณผู้ชาย คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ?”
“ผมเข้าใจอะไรผิดเหรอครับ?คุณบอกผมสิว่า ผมเข้าใจอะไรผิด?”ลาเต้ร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ พลางตะโกนขึ้นเสียงดัง
หมอกลอกตาขาว“คุณผู้หญิงท่านนี้ยังไม่ตาย”
“ผมรู้ว่ายังไม่ตาย แต่ว่าก็ใกล้แล้วไม่ใช่เหรอ?เครื่องช่วยหายใจก็ใส่ไปแล้ว……”ลาเต้มองไปยังมายมิ้นท์ แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
“เหนื่อยใจจริงๆ!”หมอถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ จากนั้นพูดขึ้นว่า:“ความหมายของผมก็คือ ผู้หญิงคนนี้เพิ่งถูกกระแทกที่ศีรษะอย่างรุนแรง ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนเล็กน้อย ดังนั้นก็เลยใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่ได้หมายความว่าเธอใกล้จะไม่ไหวแล้ว เข้าใจไหมครับ?”
“ก๊าบ?”เสียงร้องของลาเต้หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร้องครวญครางเป็นเป็ด
ไมโลหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
ลาเต้ไม่มีเวลาไปใส่ใจไมโล เขารีบคว้าแขนของหมอด้วยความตื่นตระหนก“คุณหมอ คุณพูดจริงใช่ไหมครับ ?ที่รักไม่ได้เป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไรมากครับ ข้อมือถูกกรีดเนื้อออกไปเล็กน้อย ไม่ได้ทำลายเส้นประสาทและหลอดเลือด แม้ว่าศีรษะจะหนักหน่อย แต่ว่า ก็เป็นเพียงการถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”หมอดึงแขนกลับมาพลางพูดขึ้น
ลาเต้คลายความกังวล และวางใจ“ดีจังเลย ดีจังเลย ผมก็คิดว่าที่รัก ……”
เมื่อคิดถึงเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ สีหน้าของลาเต้ก็แดงก่ำ และรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก
หมอพยักหน้าพลางจากไป
ไมโลก็ยืนอยู่ข้างเตียง พลางหันศีรษะมองลาเต้ที่อยู่ข้างๆ“คุณลุง จับคนร้ายได้หรือยังครับ?”
“ยังเลย!”สีหน้าของลาเต้ขรึมลง
เขาไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของคอนโดพราวฟ้า ได้เห็นคนที่ตีมายมิ้นท์จนสลบไป
แต่ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขากลับมองไม่ชัด
เพราะว่าคนคนนั้น ปกปิดตนเองอย่างมิดชิด ราวกับไม่ต้องการให้ใครจำได้
เมื่อไมโลได้ยินว่ายังจับคนร้ายไม่ได้ ก็ทำหน้าผิดหวัง
ลาเต้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างเฝ้าดูมายมิ้นท์อยู่ที่ข้างเตียง
วันต่อมา ลาเต้โทรศัพท์หาซินดี้ บอกซินดี้ว่ามายมิ้นท์เกิดเรื่องเข้าแล้ว ไม่สามารถไปเทนเดอร์กรุ๊ปได้ ให้ซินดี้นำงานที่ต้องทำมาให้มายมิ้นท์ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวเขาจะจัดการเอง
เมื่อได้ยินว่ามายมิ้นท์เกิดเรื่อง ในใจของเลขาซินดี้ก็เป็นกังวลเล็กน้อย
หลังจากวางสายโทรศัพท์ลง หล่อนก็รีบเข้าไปยังห้องทำงานของมายมิ้นท์ เก็บของที่จะนำไปด้วย และเตรียมที่จะไปเยี่ยมมายมิ้นท์
ขณะที่เลขาซินดี้กำลังเข้าไปในห้องทำงานของมายมิ้นท์ มีคนออกมาจากห้องทำงานของเลขาข้างๆคนหนึ่ง
หล่อนเหลือบมองห้องทำงานของมายมิ้นท์ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรศัพท์ออกไปสายหนึ่ง
โรงพยาบาลนิวเวอร์ ผู้ช่วยเหมันตร์กำลังรายงานเรื่องบริษัทให้กับเปปเปอร์ทราบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เปปเปอร์คลึงหว่างคิ้ว“รับเถอะ”
“ครับ”ผู้ช่วยเหมันตร์รับคำ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา
เมื่อเห็นหน้าจอแสดงผลของโทรศัพท์ หลังจากที่เขาเลิกคิ้ว ก็มองไปยังเปปเปอร์ทันที “ประธานเปปเปอร์ เป็นคนที่เราสั่งให้อยู่ข้างกายคุณมายมิ้นท์ครับ หล่อนโทรศัพท์มาในเวลานี้ ไม่แน่อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณมายมิ้นท์ก็ได้”
เมื่อวางสายลง เขาก็รีบเข้ามายังเบื้องหน้าของเปปเปอร์ จากนั้นก็รับสายโทรศัพท์“ฮัลโหล”
“ผู้ช่วยเหมันตร์ แย่แล้ว ดูเหมือนว่าประธานมายมิ้นท์จะเข้าโรงพยาบาลแล้ว”คู่สายอีกฝั่งหนึ่ง กดเสียงลงต่ำ
ผู้ช่วยเหมันตร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ“อะไรนะ?คุณมายมิ้นท์เข้าโรงพยาบาลเหรอ?”
เมื่อเปปเปอร์ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็หดลง“เกิดอะไรขึ้นกับมายมิ้นท์?”
ผู้ช่วยเหมันตร์ส่ายศีรษะ“เดี๋ยวผมถามก่อนครับ”
เขาถามคู่สาย พลางเปิดเสียงลำโพงให้ดังขึ้น
คู่สายโทรศัพท์ตอบกลับว่า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าเห็นเลขาซินดี้พูดว่า ประธานมายมิ้นท์แม้แต่เอกสารก็ไม่สามารถจัดการได้ ต้องนำเอกสารไปที่โรงพยาบาลเพื่อให้ประธานลาเต้จัดการแทน ดังนั้นก็น่าจะร้ายแรงพอสมควรค่ะ”
สีหน้าของเปปเปอร์บีบตัวรัดแน่น
เมื่อผู้ช่วยเหมันตร์เห็นเช่นนั้น จึงรีบห้ามไม่ให้เขาลงจากเตียง “ประธานเปปเปอร์ ท่านจะทำอะไรเหรอครับ?”
“ผมจะไปดูเธอ”เปปเปอร์พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ
ผู้ช่วยเหมันตร์ไม่เห็นด้วย“ไม่ได้ครับประธานเปปเปอร์ บาดแผลของท่านยังไม่หายดี จะเดินไปไหนไม่ได้”
“ผมบอกว่า ผมจะไปดูเธอ!”เปปเปอร์นั่งที่ข้างเตียง สายตาจ้องมองไปที่เขาอย่างไม่ขยับ
ผู้ช่วยเหมันตร์เผชิญกับดวงตาที่เย็นชาและเฉียบคมของเขา ขยับปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องเห็นด้วย
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปจัดการก่อน ประธานเปปเปอร์รอสักครู่นะครับ”
ผู้ช่วยเหมันตร์รู้ดีว่า เรื่องที่ประธานเปปเปอร์ตัดสินใจแล้ว แม้ว่าคนข้างกายจะห้าม ก็ยากที่จะเปลี่ยนใจประธานเปปเปอร์ได้
อีกทั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณมายมิ้นท์ ก็ยิ่งยากที่จะห้ามเขาเข้าไปอีก
ประธานเปปเปอร์รักคุณมายมิ้นท์ขนาดนั้น เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องกับคุณมายมิ้นท์ จะไม่ได้ดูได้อย่างไร แม้ว่าหากการที่เขาไปแล้วจะทำให้บาดแผลที่หลังของเขาต้องฉีกออก ประธานเปปเปอร์ก็ไม่ได้ใส่ใจ
ดังนั้นคนแบบนี้ จะขัดขวางได้ยังไงกัน?
ขัดขวางขั้นเด็ดขาดอาจทำได้ แต่ว่าหลังจากนั้นประธานเปปเปอร์จะทำอะไร ก็คงไม่มีใครรู้ได้
ผู้ช่วยเหมันตร์ถอนหายใจ หันศีรษะแล้วออกจากห้องพักผู้ป่วย แล้วไปลาหยุดให้กับเปปเปอร์
เขาเดินไปพลาง ถามคู่สายอีกทางด้านหนึ่งของโทรศัพท์ว่ามายมิ้นท์อยู่โรงพยาบาลอะไร
ไม่นาน ผู้ช่วยเหมันตร์ก็กลับมา พร้อมใบลาและเข็นรถเข็นมาหนึ่ง
ที่จริงแล้ว ขาของเปปเปอร์ไม่ได้เป็นอะไร สามารถเดินได้ด้วยตนเอง
แต่ว่าขณะที่เดิน อาจจะทำให้บาดแผลที่หลังฉีกออก
ดังนั้นเพื่อลดอาการบาดแผลฉีกขาด จึงลากรถให้กับประธานเปปเปอร์เป็นการดีที่สุด
เปปเปอร์ก็รู้ดีว่าผู้ช่วยเหมันตร์หวังดี ไม่ได้ปฏิเสธ จึงนั่งลงบนรถเข็น
ผู้ช่วยเหมันตร์เข็นเปปเปอร์ออกจากประตู และได้พบกับพิศมัยที่กำลังหิ้วกระติกเก็บความร้อนมาพอดี
พิศมัยมองดูทั้งสอง พลางถามขึ้นเสียงดังว่า“เปปเปอร์ ลูกกำลังทำอะไรของลูก?”
“ผมมีธุระต้องไปทำนิดหน่อย”หลังจากที่เปปเปอร์ตอบกลับเสร็จเรียบร้อย ตบที่รถเข็น บอกเป็นนัยกับผู้ช่วยเหมันตร์ว่า ให้รีบไป
แน่นอนว่าผู้ช่วยเหมันตร์ทำตาม
พิศมัยยืนอยู่ข้างหลัง ยังถามอีกว่า“ลูกจะไปไหนเหรอ แม่ทำซุปมาให้ลูก ไม่ดื่มสักหน่อยเหรอ?”
ครั้งนี้เปปเปอร์ไม่ได้ตอบกลับ ในใจคิดถึงแต่มายมิ้นท์ คงไม่มีอารมณ์มาดื่มซุปอะไรนั้นหรอก
สี่สิบนาทีต่อมา ก็มาถึงยังโรงพยาบาลที่มายมิ้นท์รักษาตัวอยู่
ผู้ช่วยเหมันตร์สอบถามพยาบาลที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์จนได้หมายเลขห้องผู้ป่วยของมายมิ้นท์มา จากนั้นก็ลากเปปเปอร์เข้าไป
ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก เสียงจากข้างในดังลอดออกมา เมื่อฟังอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นเสียงของลาเต้และการันต์
เปปเปอร์ขมวดคิ้ว
ลาเต้อยู่ที่นี่เขาเข้าใจได้
แต่ว่าการันต์ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ?
การันต์ไม่ใช่หมอของโรงพยาบาลนี้สักหน่อย!
อีกทั้งการันต์ทราบข่าวที่มายมิ้นท์เกิดเรื่อง เร็วกว่าเขาอีก ใครเป็นคนบอกข่าวกัน?